ดื่มเพียงวันละ 3 แก้ว เสี่ยง ‘ภาวะเลือดออกในสมอง’ เร็วกว่าคนทั่วไปที่ไม่ดื่มถึง 11 ปี งานวิจัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ยืนยันแนวโน้มอันตราย หากดื่มมากเกินไป

ผลการศึกษาล่าสุดจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ เผยว่า การดื่มแอลกอฮอล์เพียงวันละ 3 แก้วขึ้นไป อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกในสมอง เร็วกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 11 ปี

อีกทั้งยังมีขนาดของเลือดออกมากขึ้นถึง 70% และมีแนวโน้มเกิดเลือดออกในบริเวณส่วนลึกของสมองมากกว่าปกติถึง 2 เท่า

ผลวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับนานาชาติ Neurology เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยทีมวิจัยของโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์เจเนอรัล ภายใต้การนำของ ดร.เอดิพ กูรอล รองศาสตราจารย์ประสาทวิทยาแห่งฮาร์วาร์ด

การศึกษาครั้งนี้วิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยเลือดออกในสมองจำนวน 1,600 ราย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลระหว่างปี 2003–2019 โดยตัดกรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุออก

และตรวจสอบลักษณะการเกิดเลือดออกด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) และภาพเอ็มอาร์ไอ (MRI) เพื่อประเมินความเสียหายของหลอดเลือดสมอง

ภาพประกอบ

ผลศึกษาพบว่า ผู้ป่วยประมาณ 7% รายงานว่าดื่มแอลกอฮอล์วันละ 3 แก้วขึ้นไป กลุ่มนี้มีอายุเฉลี่ยขณะเกิดภาวะเลือดออกในสมองเพียง 64 ปี ซึ่งน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม (เฉลี่ย 75 ปี) ถึง 11 ปี และมีปริมาณเลือดออกมากกว่า 70%

นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ดื่มหนักมีโอกาสเกิดเลือดออกในส่วนลึกของสมอง หรือมีการรั่วไหลเข้าสู่โพรงน้ำไขสันหลังได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า แม้แต่การดื่มเพียงวันละ 2 แก้วก็ยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดังกล่าวเร็วกว่าปกติ

นักวิจัยอธิบายว่า การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นและทำลายหลอดเลือดฝอยในสมอง ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอและแตกได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้ระดับเกล็ดเลือดในร่างกายลดลง ทำให้ร่างกายหยุดเลือดได้ยากขึ้น ปัจจัยทั้งหมดนี้เพิ่มโอกาสเกิดเลือดออกในสมองอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากข้อมูลการดื่มแอลกอฮอล์มาจากการรายงานด้วยตนเอง กลุ่มผู้ดื่มหนักมีจำนวนน้อย และทำการศึกษาในโรงพยาบาลเดียว โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นชาวผิวขาว

ดร.กูรอลย้ำว่า “การลดหรืองดการดื่มแอลกอฮอล์คือหัวใจสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง แม้แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำก็ควรจำกัดการดื่มไม่เกินสัปดาห์ละ 3 แก้ว เพื่อปกป้องสุขภาพสมองและหัวใจในระยะยาว”