“MTS Gold” ชี้ ทองคำยังพักฐานต่อ 7-8 สัปดาห์ คาดดีดแรงปลาย ธ.ค.
GH News November 09, 2025 09:20 PM

MTS Gold มองราคาทองคำยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบต่อเนื่องถึงกลางเดือนธันวาคม หลังความหวังลดดอกเบี้ยเฟดหดเหลือ 20% แต่เชื่อปลายปีมีโอกาสกลับตัวขึ้นแตะระดับ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนักลงทุนทยอยสะสมหากราคาหลุดแนวรับ 60,500 บาท

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold) เปิดเผยในงานสัมมนา Better Trade 2025 Intelligent Investor : ปลดล็อคความคิด พิชิตโอกาส ฉลาดลงทุน หัวข้อ Gold as a Safe Haven or Growth Engine ทองคำ หลุมหลบภัย หรือพลังขับเคลื่อนพอร์ต ว่า ภาพรวมราคาทองคำในขณะนี้อยู่ในช่วงพักฐาน โดยเดิมประเมินว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ เนื่องจากคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 70% แต่หลังจากประธานเฟดออกมาให้ความเห็นว่ามีความไม่แน่นอนในการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ขณะที่สหรัฐยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์ ทำให้ไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญออกมา ความหวังในการลดดอกเบี้ยจึงลดลงเหลือเพียง 20% และตลาดคาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 57%

จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้มองว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway และพักฐานต่อไปอีก 7-8 สัปดาห์ หรือถึงประมาณกลางเดือนธันวาคม โดยจากสถิติในหลายปีที่ผ่านมา ราคาทองมักปรับตัวขึ้นในช่วงปลายเดือนธันวาคม หรือราวสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ทั้งนี้ มองว่าหากราคาทองคำกลับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเดิมที่ราว 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 67,000 บาท ก็ถือว่าน่าพอใจ และจะสามารถสบายใจได้หากราคาทองไม่หลุดระดับ 4,000 ดอลลาร์ลงมา ขณะที่แนวรับการพักฐานอยู่ที่ 60,800-61,200 บาทต่อบาททองคำ หากราคาหลุด 60,500 บาท แนะนำให้ทยอยเข้าซื้อสะสม

นพ.กฤชรัตน์กล่าวว่า ราคาทองคำในปีนี้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นจากระดับ 42,600 บาท มาทำจุดสูงสุดที่ 67,300 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 65% ส่วนในตลาดโลก ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ราคาทองปรับจาก 2,560 ดอลลาร์ เป็น 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สาเหตุหลักมาจากความกังวลเรื่องภาษีทางการค้า (Tariff) เมื่อปัจจัยดังกล่าวเริ่มนิ่ง ราคาทองจึงปรับฐานและเคลื่อนไหวในกรอบ 3,200-3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือราว 52,000-53,000 บาทในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนสิงหาคม

ต่อมาในเดือนสิงหาคม ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากปัจจัยคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน จนราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) ในวันที่ 8 ตุลาคม ที่ระดับ 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 67,300 บาท ซึ่งในช่วงราคาขึ้นแรงนี้ประชาชนเข้าซื้อจำนวนมากแม้บางส่วนจะติดราคาสูง แต่ไม่ถือว่าน่ากังวล

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำร่วงลงหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีแนวโน้มที่ดี แต่การเจรจาเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมาไม่ได้มีความคืบหน้า ทำให้เกิดแรงขายทางจิตวิทยาของนักลงทุน ส่งผลให้ราคาทองคำโลกร่วงลงกว่า 400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือเป็นการปรับตัวลงแรงในรอบประวัติการณ์ ก่อนที่จะดีดกลับมาทรงตัวบริเวณ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปัจจุบัน

สำหรับปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) ที่สนับสนุนราคาทองคำในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา นพ.กฤชรัตน์ระบุว่า ยังไม่เปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย

1. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ยังไม่สิ้นสุด เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน สงครามอิสราเอล-ฮามาส และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งสามารถปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ

2. สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังคงแบ่งออกเป็นสองขั้ว เป็นปัจจัยสนับสนุนแนวโน้ม De-Dollarization หรือการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์

3. แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยังอยู่ในทิศทางขาลง แม้จะลดมาแล้ว 2 ครั้ง แต่เดือนธันวาคมยังมีความไม่แน่นอนเนื่องจากสหรัฐยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์และไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ออกมา

นอกจากนี้ ปีหน้าปัจจัยพื้นฐานยังคงหนุนราคาทองคำต่อเนื่อง ทั้งจากเงินเฟ้อของสหรัฐที่ยังไม่ถึงเป้าหมาย คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1-2 ครั้ง รวมถึงปัญหาหนี้สาธารณะที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งสร้างความไม่มั่นใจต่อค่าเงินดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนและธนาคารกลางทั่วโลกหันมาถือครองทองคำมากขึ้น

ในเชิงเทคนิค (Technical) มองว่าการปรับตัวลงของราคาทองคำเป็นเพียงการพักฐาน โดยในช่วงก่อนหน้าทองคำหลุดระดับ Fibonacci Retracement ที่ 44-45% ก่อนดีดกลับมาทรงตัวบริเวณระดับ 38% ซึ่งตรงกับราคา 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเริ่มทรงตัวบริเวณนี้มาแล้วราว 7 วัน แสดงสัญญาณของการกลับตัว (Reversal) พร้อมเกิดรูปแบบ Double Bottom ที่ระดับ 3,900 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการปรับฐานเพื่อคลายความร้อนแรง โดยทองคำไทยกำลังสร้างฐานอยู่ในกรอบ 60,000-61,000 บาท

นพ.กฤชรัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพิจารณาภาพรวมย้อนหลัง 10 ปี ราคาทองคำมีทิศทางเป็นบวกเกือบทุกปี ยกเว้นปี 2015 ที่ปรับลดลงราว 10% จากผลกระทบหลังฟองสบู่ทองคำแตกในปี 2013 แต่เชื่อว่าในปัจจุบันไม่เป็นภาวะฟองสบู่ เพราะปัจจัยเปลี่ยนไปแล้ว สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากเดิม โดยปีหน้าทองคำยังมีฐานการเติบโตต่อเนื่องทั้งในระยะกลางและระยะยาว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.