ผู้ใช้งาน AI ยื่นฟ้อง OpenAI และ CEO หลังเกิดปัญหาสุขภาพจิตอย่างรุนแรง อ้าง ChatGPT ชักนำให้เกิดความหลงผิด จนถึงขั้นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล!
สื่อต่างประเทศรายงานว่า ชายจากรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ชื่อ เจคอบ เออร์วิน ได้ยื่นฟ้อง OpenAI และ แซม อัลท์แมน ซีอีโอของบริษัท โดยอ้างว่า “แชตบอต AI ของพวกเขาอย่าง ChatGPT เป็นสาเหตุทำให้เขาเกิดปัญหาสุขภาพจิตอย่างรุนแรง!”
ตามคำฟ้อง เจคอบ วัย 30 ปี ซึ่งอยู่ในกลุ่มออทิสติก เกิดอาการ “โรคหลงผิดที่เกี่ยวข้องกับ AI” หลังจาก ChatGPT ชักนำให้เขาเชื่อในทฤษฎีเกี่ยวกับ “การบิดเบี้ยวของเวลา” และทำให้เขาคิดว่าเขาสามารถเดินทางเร็วกว่าแสงได้
ก่อนหน้านี้ เจคอบไม่มีประวัติทางจิตเวช แต่หลังจากใช้งาน ChatGPT เขาต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนานกว่า 60 วัน เนื่องจากมีอาการฮิสทีเรียรุนแรง และความหลงผิดที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งในบางครั้งถึงขั้นต้องควบคุม “ไม่ให้เขากระโดดออกจากรถที่กำลังเคลื่อนที่”
คำฟ้องยังระบุว่า OpenAI ออกแบบ ChatGPT ให้ “ติดง่าย ชักนำหลอกลวง และเอาใจผู้ใช้” โดยใช้ประโยชน์จากความเปราะบางของผู้ใช้ และยังไม่มีคำเตือนที่เพียงพอ ซึ่งทำให้อาการของผู้ใช้บางรายรุนแรงถึงขั้นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์
ภาพประกอบ
เจคอบ เออร์วิน เป็นหนึ่งในผู้ฟ้องร้อง 7 รายจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่อ้างว่าการออกแบบ ChatGPT ทำให้ผู้ใช้เกิดความพึ่งพิง และถูกชักจูงทางอารมณ์ ซึ่งกลุ่มผู้ฟ้องร้องทั้งหมดยื่นฟ้องผ่าน ศูนย์กฎหมายเหยื่อโซเชียลมีเดีย (Social Media Victims Law Center)
โดยผู้ฟ้องร้องเรียกร้องทั้ง “ค่าชดเชยความเสียหาย” และ “การปรับปรุงการออกแบบ รวมถึงฟีเจอร์ของ ChatGPT” เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันในอนาคต
ด้าน OpenAI ยอมรับสถานการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่ากำลังตรวจสอบคำฟ้อง พร้อมเน้นย้ำถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการพัฒนา ChatGPT ให้สามารถตรวจจับ และตอบสนองต่อสัญญาณความทุกข์ทางจิตใจของผู้ใช้งานได้ดีขึ้น
ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม OpenAI ได้ปรับปรุง ChatGPT เพื่อจัดการกับผู้ใช้ที่มีความทุกข์ทางจิตใจ โดยทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตกว่า 170 คน เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และความรับผิดชอบของระบบ
ขณะนี้ OpenAI ยังไม่ได้ยื่นคำตอบต่อคดีฟ้องร้องนี้ และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา แต่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความท้าทายทางกฎหมาย และจริยธรรมที่เกิดขึ้นกับ AI และการใช้งานแชตบอตในชีวิตประจำวัน
ขอบคุณที่มา: abc News
