อาการปวดเท้า ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย บ่งบอกความผิดปกติของสุขภาพ เป็นสัญญาณเตือนโรคร้าย หลายคนมักมองข้าม ควรรักษาก่อนลุกลาม
แม้ส้นเท้าจะอยู่ไกลจากอวัยวะสำคัญของร่างกาย แต่แท้จริงแล้ว “เท้า” โดยเฉพาะ “ส้นเท้า” อาจบ่งบอกความผิดปกติของสุขภาพได้มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะอาการหนึ่งที่หลายคนมักมองข้ามว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
ล่าสุด ดร.ร็อก จี. โพซิตาโน ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์เท้า จากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ เผยว่า อาการปวดส้นเท้าคือ ‘นักหลอกลวงตัวจริง’ เพราะมันมักเป็นอาการแฝงของโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่
โดยอธิบายว่า ความเจ็บปวดบริเวณส้นเท้าอาจเชื่อมโยงกับโรคที่เกี่ยวข้องกับข้อ กล้ามเนื้อ หรือระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคลูปัส โรคข้อรูมาตอยด์ หรือแม้แต่ลิ่มเลือด ก็สามารถแสดงอาการเริ่มต้นออกมาด้วย “ปวดส้นเท้า” ได้เช่นกัน
ทำไมโรคเหล่านี้จึงมักแสดงออกที่ส้นเท้า?
ดร.โพซิตาโนอธิบายว่า เนื่องจากส้นเท้ามีหลอดเลือดขนาดใหญ่จำนวนมาก ทำให้กลายเป็น “จุดยอดนิยม” ของโรคบางชนิด โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือด หรือแม้แต่การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง รวมถึงอาจเป็นจุดที่เกิดกระดูกแตกจากการใช้งานมากเกินไป หรือเกิดจากภาวะกระดูกพรุน
นอกจากนี้ ตำแหน่งของอาการปวดก็มีความหมายทางการแพทย์เช่นกัน
หากปวดส้นเท้าข้างที่ไม่ถนัด อาจเป็นผลจากการชดเชยน้ำหนักเพราะเจ็บเข่าหรือสะโพก ส่วนอาการปวดส้นเท้าทั้งสองข้างพร้อมกัน อาจเกี่ยวข้องกับโรคหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนล่าง

ภาพประกอบ
อาการเล็กๆ ที่อาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่
แม้บางกรณี “ปวดส้นเท้า” จะเป็นเพียงอาการเฉพาะจุด แต่การเจ็บเรื้อรังอาจส่งผลให้คนลดการเคลื่อนไหว นำไปสู่ปัญหาระบบอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวานชนิดที่ 2 โรคอ้วน กระดูกพรุน หรือภาวะซึมเศร้า
อย่างไรก็ตาม แพทย์จำนวนมากยังคงวินิจฉัยผิดพลาด โดยมักเหมารวมว่าเป็น “โรครองช้ำ” ทั้งที่อาจมีสาเหตุซ่อนอยู่ลึกกว่านั้น ยกตัวอย่างกรณีคนไข้ที่ปวดส้นเท้ามานานเป็นปี แต่กลับพบภายหลังว่ามีโรคร้ายแรงอื่นเป็นต้นเหตุ
สุดท้ายผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์วินิจฉัยระบบข้อต่อและกล้ามเนื้อ จะช่วยให้แพทย์แยกแยะสาเหตุได้ชัดเจน และลดโอกาสรักษาผิดวิธี รวมถึงอย่ามองข้ามความเจ็บเล็กๆ พร้อมเตือนว่า ไม่ควรวินิจฉัยด้วยตัวเอง
เนื่องจากความเจ็บปวดนี้อาจมาจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่กล้ามเนื้อบาดเจ็บไปจนถึงมะเร็ง มันอาจไม่ถึงขั้นคุกคามชีวิต แต่แน่นอนว่าเป็นภัยต่อคุณภาพชีวิตอย่างยิ่ง
ขอบคุณที่มา newyork post