นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ถูกพูดถึงและจับตามองงอย่าง การปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ (Xenotransplantation) ในฐานะความหวังใหม่ ที่อาจปฏิรูประบบปลูกถ่ายอวัยวะทั้งระบบ พลิกเกมของโลกที่จะเข้ามาแก้ปัญหาขาดแคลนอวัยวะได้
ทำให้มหาวิทยาลัยมหิดล จึงมุ่งขับเคลื่อน “Medical Disruption” เพื่อยกระดับสมรรถนะการวิจัยของไทยให้เทียบมาตรฐานสากล จึงทุ่มงบกว่า 3,000 ล้านบาท ขับเคลื่อน 4 เทคโนโลยีอนาคต ประกอบด้วย Medical AI การปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ โรงงานยาที่มีชีวิต และการแพทย์สมุนไพรมูลค่าสูง เพื่อปิดช่องว่างโครงสร้างสุขภาพของประเทศ พร้อมยกระดับงานวิจัยไทยสู่เวทีโลก และเสริมแกร่งเศรษฐกิจสุขภาพในยุค Wellness Economy โดยแผนนี้ไม่เพียงตอบโจทย์ระบบบริการสุขภาพที่กำลังรับแรงกดดันแต่ยังเป็นการปูรากฐานอุตสาหกรรมการแพทย์ยุคใหม่
ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาสาธารณสุขที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชนและเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว โดยมี 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข ได้แก่ 1. ต้นทุนสุขภาพที่เพิ่มสูงต่อเนื่อง จากโครงสร้างสังคมสูงอายุ 2. บุคลากรการแพทย์ไม่เพียงพอและกระจายไม่ทั่วถึง เนื่องจากแพทย์ไทยเฉลี่ย 1 คนต่อประชากร 2,000 คน ต่ำกว่ามาตรฐาน WHO ที่กำหนด 1 ต่อ 1,000 คน 3. คนไทยขาดความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นรากสำคัญของปัญหา
ดังนั้นในปี 2569 จึงตั้งเป้าหมายสำคัญเพื่อพลิกโฉมสาธารณสุขไทย ตอบรับแนวโน้มอนาคตโลก และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ผู้นำด้าน Wellness Economy และการแพทย์ระดับโลก ด้วยการลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ในการพัฒนา 4 เทคโนโลยีแห่งอนาคต ได้แก่ 1.Medical AI 2.การปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ 3.โรงงานยาที่มีชีวิต และ4.การแพทย์สมุนไพรมูลค่าสูง
ความน่าสนใจในเป้าหมายทั้ง 4 ด้านของม.มหิดลคือ การมุ่งวิจัยงานปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวว่า การปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ ถือเป็นอีกหนึ่งความหวังในการแก้ปัญหาวิกฤตขาดแคลนอวัยวะ (Organ Shortage Crisis) ที่รุนแรงทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย การรอคอยผู้บริจาคอวัยวะ ไม่ว่าจะยังมีชีวิตหรือเสียชีวิต ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นตามสังคมผู้สูงอายุและโรคเรื้อรังได้ ปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังต้องล้างไตมากกว่า 100,000 ราย โดยมีค่าใช้จ่ายปีละ 16,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสูงถึง 57,000 ล้านบาทในปี 2576 ซึ่งเทคโนโลยีการปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ ใช้อวัยวะจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อลดการปฏิเสธของภูมิคุ้มกันมนุษย์ จึงช่วยลดระยะเวลารอคอย เพิ่มโอกาสรอดชีวิตผู้ป่วย และลดภาระค่าใช้จ่ายระยะยาวในการดูแลสุขภาพ
ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวต่อว่า ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ ปัจจุบันมีความพยายามนำอวัยวะของหมูมาใช้กับมนุษย์ เนื่องจากหมูมีน้ำหนักตัวและขนาดอวัยวะใกล้เคียงมนุษย์ หมูโตเต็มวัยในต่างประเทศมักหนักราว 60 กิโลกรัม ส่วนหมูในไทยอาจหนักถึง 200 กิโลกรัม แต่โดยทั่วไปหมูที่ใช้ในการวิจัยจะมีน้ำหนักประมาณ 60–100 กิโลกรัม ทำให้ขนาดหัวใจและไตของหมูมีความใกล้เคียงอวัยวะมนุษย์มาก
ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวต่อว่า ความพยายามในการใช้อวัยวะของหมูเพื่อปลูกถ่ายให้มนุษย์มีมาตั้งแต่ปี 1906 แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากร่างกายมนุษย์ปฏิเสธอวัยวะจากหมูอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2020 เป็นต้นมา ทำให้การวิจัยด้านนี้พัฒนาไปอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีการตัดต่อยีนที่ช่วยระบุตำแหน่งยีนปัญหาในหมูที่กระตุ้นให้มนุษย์สร้างภูมิต้านทานต่ออวัยวะที่ปลูกถ่าย
“นักวิจัยจึงใช้วิธี น็อกเอาต์ ยีนบางตัวของหมูที่ก่อให้เกิดการปฏิเสธอวัยวะ และน็อกอิน ยีนของที่สำคัญบางตัวของมนุษย์เข้าไปแทน ทำให้เซลล์ของหมูที่ดัดแปลงสายพันธุ์มีความใกล้เคียงกับเซลล์มนุษย์มากขึ้น ผลลัพธ์คืออวัยวะที่เข้ากันได้ดีขึ้นและลดโอกาสเกิดภูมิคุ้มกันต่อต้าน เกิดความสำเร็จในจีน คือ การนำปอดจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยที่มีภาวะปอดล้มเหลว และสามารถทำงานแทนปอดมนุษย์ได้เป็นตัวอย่างแรก” ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าว

สำหรับจุดเปลี่ยนสำคัญของการปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์เกิดขึ้นในปี 2022 เมื่อคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายหัวใจหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมในมนุษย์ที่หัวใจล้มเหลวได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก แม้ผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2 เดือน แต่ก็ได้พิสูจน์ได้ว่าเทคโนโลยีนี้สามารถทำได้จริง
ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวว่า การวิจัยอวัยวะและเนื้อเยื่อข้ามสายพันธุ์ไม่ได้จำกัดแค่ไตหรือหัวใจ แต่ครอบคลุมถึงเซลล์และเนื้อเยื่ออื่น ๆ เช่น ตับอ่อนหมูที่สามารถนำไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อทดแทนการผลิตอินซูลินที่หมดประสิทธิภาพ นอกจากนี้ หนังหมูยังสามารถนำมาใช้ทดแทนผิวหนังในผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้รุนแรง รวมถึงกระจกตาหมูที่สามารถใช้ปลูกถ่ายในคนได้
ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามยังต้องศึกษาและพัฒนาต่อเพื่อก้าวข้ามความท้าทายสำคัญ คือ การต่อต้านของร่างกายมนุษย์ (Rejection) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ 1. การต่อต้านด้วยแอนติบอดี (Hyperacute Rejection) แอนติบอดีทำลายอวัยวะหมูทันที 2. การต่อต้านในระดับเซลล์ (Cellular Rejection) เม็ดเลือดขาวเข้าทำลายอวัยวะ 3. การเกิดลิ่มเลือด (Thrombosis) เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดเล็ก ๆ ของอวัยวะหมูทำให้อวัยวะขาดเลือดและเสียหาย การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการตัดต่อยีนที่แม่นยำเพื่อดัดแปลงพันธุกรรมของหมูให้เข้ากับมนุษย์มากขึ้น ลดการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่องหลังการปลูกถ่าย
โดยมีบริษัทที่พยายามแก้ไขปัญหานี้คือ บริษัท NZeno ในนิวซีแลนด์ ที่ได้ต่อยอดงานวิจัยจากการปลูกถ่ายอวัยวะหัวใจหมูสู่คน ที่พบว่ามีไวรัสที่ติดในคน กระจายไปสู่หมู และไปซ้อนอยู่ใน DNA หมู ซึ่งเป็นไวรัสที่พบได้ในท้องตลอดทั่วไป นักวิจัยของNZeno ได้ไปเจอหมูสายพันธุ์หนึ่งที่ไม่เคยเจอคนมานานกว่า 200 ปี จากเกาะโอ๊คแลนด์ (Auckland Islands) ซึ่งอยู่ทางใต้ในอาณาเขตของนิวซีแลนด์ ซึ่งจะไปเกาะนี้ได้ต้องนั่งเรือไปถึง 6 ชั่วโมง โดยหมูบนเกาะนี้คาดว่าได้ถูกนำไปปล่อยครั้งแรกโดยกัปตันเจมส์ คุก นักสำรวจและนักเดินเรือ ที่สำรวจออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ หมูสายพันธุ์นี้มีความสามารถอยู่รอดสูงในธรรมชาติ โดยหาอาหารจากชายฝั่ง เช่น หอยและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ และเพาะพันธุ์กันภายในเกาะ อีกทั้งชาวนิวซีแลนด์ก็อนุรักษ์เกาะนี้ โดยไม่ให้มีมนุษย์เข้าไปภายในเกาะนี้ นักวิจัยจึงพบว่า ระบบนิเวศของเกาะทำให้หมูเหล่านี้ปลอดเชื้อไวรัสที่พบในหมูทั่วไป จึงกลายเป็นต้นแบบที่เหมาะสมสำหรับงานวิจัยอวัยวะข้ามสายพันธุ์เพื่อมนุษย์ จากการทำงานร่วมกันของนิวซีแลนด์ เยอรมนี และจีน ด้วย

ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวถึงประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการทดลอง จะมีหมูอยู่ในโรงเรียนระบบปิดที่มีมาตรการความปลอดภัยเข้มงวด หากจะเข้าพื้นที่ทุกคนต้องผ่านการทำความสะอาดร่างกายอย่างละเอียดเพื่อป้องกันการปนเปื้อน โรงเรือนดังกล่าวมีหมูที่ดัดแปลงสายพันธุ์แล้วประมาณ 500 ตัว และมีการขยายพันธุ์จนได้ 4 รุ่น เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยทางพันธุกรรม
เมื่อหมูโตเต็มวัย อวัยวะของหมูบางส่วน เช่น หัวใจ จะถูกส่งต่อไปยังสถาบันในเมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี เพื่อทำการทดลองปลูกถ่ายในลิงประมาณ 20 ตัว ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงนักวิจัยจากห้องปฏิบัติการที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพเนื่องจากความอ่อนไหวทางจริยธรรมในการทดลองสัตว์
“ ทั้งนี้ทีมนักวิจัยได้มีการประเมินคร่าวๆว่า อายุการใช้งานของอวัยวะความมุ่งหวังคือให้ใช้งานได้ประมาณ 2 ปี และในระหว่างนั้นผู้ป่วยก็อาจรอการปลูกถ่ายไตเพิ่มเติม การเปลี่ยนแปลงอวัยวะไม่ได้หมายความว่าต้องเอาไตเก่ามาทิ้งเสมอไป เพราะปัจจุบันสามารถปลูกถ่ายไตใหม่ต่อเข้ากับเส้นเลือดโดยไม่รบกวนไตเดิม หากสามารถตัดต่อพันธุกรรมได้ดีขึ้น การใช้ยากดภูมิก็จะยิ่งน้อยลง ความหวังคือสามารถสร้างไตหรือหัวใจหมูที่เหมาะกับผู้ป่วยเฉพาะราย โดยใช้เซลล์ของผู้ป่วยเองมาปรับแต่งและเลี้ยงในหมูพิเศษ เพื่อให้ร่างกายรับอวัยวะได้ดีและลดโอกาสเกิดปฏิกิริยาปฏิเสธ” ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าว
ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวถึงการศึกษาเรื่องนี้ต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย ไม่ให้มีการแพร่เชื้อหรือเปลี่ยนสายพันธุ์ออกนอกพื้นที่ทดลอง ต้องมีกรรมการจริยธรรมตรวจสอบอย่างละเอียด เช่นเดียวกับมาตรการในเยอรมนี การทดลองกับเซลล์ต้นกำเนิดหรือการตัดต่อพันธุกรรมต้องผ่านหลายระดับความปลอดภัยและควบคุมอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ การพัฒนางานวิจัยต้องทำควบคู่กับมาตรการป้องกันและการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสร้างฐานการทดลองภายในประเทศเพื่อไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอวัยวะจากต่างประเทศ
จากที่ได้ไปเยี่ยมชมศูนปฏิบัติงานของนิวซีแลนด์ ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวว่า จึงเกิดแนวคิดว่าจะนำองค์ความรู้ด้านการวิจัยอวัยวะทางเลือกจากสัตว์มาพัฒนาต่อในประเทศไทย จึงได้ลงพื้นที่ศึกษาฟาร์มหมูของเบทาโกร จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นฟาร์มหมูปลอดเชื้อที่มีระบบเลี้ยงแบบปิดและควบคุมความปลอดเชื้ออย่างเข้มงวด ฟาร์มแห่งนี้เป็นผู้ผลิตหมูสายพันธุ์ SPO ที่ส่งออกไปญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญด้านการเลี้ยงหมูปลอดเชื้อโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ
“จากการศึกษานี้ จึงเกิดแนวคิดที่จะสร้างฟาร์มต้นแบบสำหรับเลี้ยงหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมตามแบบอย่างจากโครงการของ NZeno โดยเดือนนี้มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) และบริษัท NZeno Limited ประเทศนิวซีแลนด์ ได้ลงนามความร่วมมือ ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ เป็นการพัฒนาความร่วมมือด้านการวิจัย การปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ และด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อนำไปใช้ในการรักษาทางการแพทย์ อันจะก่อเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ป่วย” ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าว
ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการนี้อยู่ใน Phase 0 อย่างไรก็ตามในระหว่างที่จะมีการพัฒนาหัวใจหรือไต ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5–10 ปี ทีมวิจัยอาจเริ่มจากอวัยวะหรือเนื้อเยื่อ อย่าง คอลลาเจนจากหมู ซึ่งสามารถนำไปใช้ผลิตฟิลเลอร์หรือวัสดุทางเวชสำอางได้ เนื่องจากกระบวนการทำคอลลาเจนมีความซับซ้อนน้อยกว่าและความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการพัฒนาอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจหรือไต คาดการณ์ว่าจะประสบความสำเร็จและนำมาใช้ได้จริงภายใน 5-10 ปี และตั้งเป้าให้อวัยวะที่ปลูกถ่ายสามารถใช้งานได้อย่างน้อย 2-5 ปี โดยคาดหวังว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยผู้ป่วยไตวายเรื้อรังชาวไทยหลายแสนคนและลดภาระค่าใช้จ่ายในการล้างไต 16,000 ล้านบาทต่อปี และทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ในภูมิภาค
สำหรับเป้าอีก 3 ด้าน ประกอบด้วย 1.การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ (Medical AI) ยกระดับการดูแลสุขภาพแบบแม่นยำรายบุคคล ด้วยฐานข้อมูลทางการแพทย์ของคนไทยที่ครบถ้วนและหลากหลาย โดยได้รับความร่วมมือจาก NVIDIA สนับสนุนฮาร์ดแวร์ GPU และซอฟต์แวร์มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งสถาบันปัญญาประดิษฐ์มหิดล พัฒนานักวิจัยปริญญาเอกด้าน AI ไม่น้อยกว่า 100 คน และนำซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมและข้อมูลสุขภาพหลายมิติของคนไทย รองรับระบบสุขภาพแม่นยำรายบุคคล (Personalized Healthcare) ที่สามารถทำนายความเสี่ยงและให้คำแนะนำป้องกันโรคเฉพาะบุคคล พร้อมยกระดับงานวิจัย Medical AI ของไทยสู่เวทีสากล
2.การพัฒนาโรงงานยาที่มีชีวิต (ATMP Manufacturing) มหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับสยามไบโอไซเอนซ์ ลงทุนสร้างโรงงานยา ATMP ขนาดกลางที่ศาลายา งบกว่า 1,300 ล้านบาท เพื่อผลิตยา Advanced Therapy Medicinal Products ยุคใหม่จากเซลล์มนุษย์และยีนบำบัดรักษาโรคซับซ้อน เช่น ธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว และพาร์กินสัน โรงงานตั้งเป้าแล้วเสร็จภายใน 18–24 เดือน ช่วยลดการนำเข้ายา เสริมระบบสุขภาพ และวางรากฐานอุตสาหกรรมไบโอเทคมูลค่าสูง ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเซลล์และยีนบำบัดของภูมิภาค
3.การแพทย์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมูลค่าสูง ส่งเสริมศักยภาพของเห็ดไทย ซึ่งเป็นแหล่งสารสำคัญทางชีวภาพที่มีคุณค่าทางสุขภาพและเศรษฐกิจสูง จึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมตั้งแต่การสกัดสารบริสุทธิ์ การศึกษาเชิงคลินิกเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย ไปจนถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เช่น ยาแผนปัจจุบันที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ (Phytopharmaceuticals) และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนวัตกรรม (Nutraceuticals) พร้อมสร้างแบรนด์ไทยให้เชื่อถือในระดับโลก นอกจากจะยกระดับอุตสาหกรรมเห็ดและสมุนไพรไทย เพิ่มมูลค่าให้เกษตรกร ยังเป็นทางเลือกการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Healthcare) ให้กับคนไทยและชาวโลก
