ภาคธุรกิจไทยเร่งยกระดับห่วงโซ่อาหาร สู่มาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน
GH News November 28, 2025 07:11 PM

ภายหลังการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP30 ณ เมืองเบเลม ประเทศบราซิล ประเทศไทยได้ประกาศจุดยืนที่ชัดเจนในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ โดยรัฐบาลไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 47% ภายในปี 2035 ภายใต้กรอบ NDC 3.0 สอดคล้องกับเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C พร้อมรายงานความคืบหน้าในการผลักดันกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดตั้งกองทุนสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนากลไกกำหนดราคาคาร์บอน

28 พ.ย. 2568 – อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวอยู่ที่การปฏิรูป “ภาคอาหารและการเกษตร” ซึ่งปัจจุบันเป็นทั้งแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักและผู้ใช้ทรัพยากรที่ดินรายใหญ่ของโลก และเป็นสมรภูมิสำคัญที่จะชี้ชะตาผลลัพธ์ด้านสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพในทศวรรษข้างหน้า

งานวิจัยระดับโลกชี้ว่า 85% ของการตัดไม้ทำลายป่าทั่วโลกมีต้นตอจากภาคเกษตรกรรม ขณะที่ภาคส่วนนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนกว่า 4.09 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี มากกว่างบประมาณปกป้องป่าไม้ถึงเกือบ 70 เท่า ขณะเดียวกัน รายงานของ Global Witness ระบุว่าสถาบันการเงินทั่วโลกทำรายได้กว่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากกิจการที่เชื่อมโยงกับการทำลายป่า ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปศุสัตว์เชิงอุตสาหกรรม

เพื่อผลักดันประเด็นนี้  ซิเนอร์เจีย แอนนิมอล (Sinergia Animal) ได้ร่วมกับเครือข่ายนานาชาติอย่าง Stop Financing Factory Farming (S3F) Coalition และ World Federation for Animals จัดเวทีเสวนาในงาน COP30 ภายใต้กรอบ UNFCCC เพื่อชี้ให้เห็นว่าเงินทุนจากทั้งรัฐและเอกชนยังคงสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ สะท้อนว่าระบบการเงินและแรงจูงใจทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปเพื่อให้สอดรับกับทิศทางความยั่งยืน

คามิล่า เปรูสซี หัวหน้าฝ่ายรณรงค์ด้านสถาบันการเงินของซิเนอร์เจีย แอนนิมอล  กล่าวเน้นย้ำว่า “อุตสาหกรรมปศุสัตว์ยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการตัดไม้ทำลายป่าในอเมริกาใต้ การปฏิรูปแรงจูงใจทางการเงินจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน เพื่อไม่ให้เงินทุนยังคงไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมสูง”

ประเทศไทยผลิตไข่กว่า 1.5 หมื่นล้านฟองต่อปี และเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญในเอเชีย โดยปัจจุบันบางส่วนยังใช้ระบบกรงตับในการเลี้ยงแม่ไก่ ขณะที่ผู้ซื้อรายใหญ่ทั่วโลกได้ยกระดับข้อกำหนดด้านสวัสดิภาพสัตว์และความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน   ทำให้ผู้ประกอบการไทยเริ่มปรับตัวให้สอดรับมาตรฐานสากลเข้มงวดขึ้น

ซิเนอร์เจีย แอนนิมอลทำงานร่วมกับภาคเอกชนในไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจต่าง ๆ ในการยกระดับมาตรฐานและนำ “ไข่ไก่ปลอดกรง” มาเป็นหนึ่งในเป้าหมายด้าน ESG ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีกลุ่มธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารชั้นนำในไทยจำนวนมากได้ประกาศนโยบายไข่ไก่ปลอดกรงแล้ว อาทิ Banyan Tree, ONYX Hospitality Group, Raya Collection, Soneva Resorts, Sukishi, Minor Food และ Minor Hotels ขณะเดียวกัน Aman, Capella Hotel Group, Illy และ The Cheesecake Factory ได้เปลี่ยนผ่านสู่การใช้ไข่ปลอดกรงครบ 100% และ Best Western รายงานความคืบหน้ามากกว่า 70% ของการดำเนินงานทั่วโลก

ความคืบหน้าเหล่านี้ไม่เพียงช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตในห่วงโซ่อุปทานอาหารของไทย แต่ยังทำให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์มากขึ้น พร้อมสะท้อนว่าแนวปฏิบัติที่มีมาตรฐานสูงสามารถเสริมความสามารถแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลกได้อย่างเป็นรูปธรรม

แนวโน้มนี้เกิดขึ้นควบคู่กับความสนใจด้าน ESG ที่เพิ่มขึ้นในภาคธุรกิจไทย โดยในปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยกย่องบริษัทไทยกว่า 200 แห่งที่มีผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดดเด่น สะท้อนทิศทางเดียวกันว่าภาคเอกชนกำลังให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้น

การยกระดับมาตรฐานด้านสวัสดิภาพสัตว์ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ยังขยายวงกว้างไปทั่วเอเชีย ปัจจุบันมีบริษัทมากกว่า 300 แห่งประกาศนโยบายไข่ปลอดกรงแล้ว ขณะที่ภูฏานบังคับใช้การแบนกรงตับตั้งแต่ปี 2012 และไต้หวันประกาศใช้มาตรฐานไข่ปลอดกรงระดับชาติอย่างเป็นทางการ สะท้อนแนวโน้มระดับภูมิภาคที่กำลังก้าวสู่มาตรฐานใหม่ทั้งด้านการตลาดและกฎระเบียบ

หลังการประชุม COP30 ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ช่วงสำคัญของการผลักดันนโยบายไปสู่การปฏิบัติจริง โดยเฉพาะในบริบทการแข่งขันกับตลาดสำคัญอย่างสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์และระบบตรวจสอบย้อนกลับ ความชัดเจนด้านกฎระเบียบและการปรับมาตรฐานในห่วงโซ่อุปทานจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญระยะยาว

ในบริบทนี้ การที่โรงแรม ร้านอาหาร และผู้ค้าปลีกของไทยหันมาใช้นโยบายไข่ปลอดกรงมากขึ้น สะท้อนถึงการปรับตัวของภาคธุรกิจต่อความคาดหวังด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น และบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบที่กำลังเกิดขึ้นเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.