ในยุคที่”การให้” ในสังคม สามารถทำได้เพียงปลายนิ้วคลิก การบริจาคจำนวนมากย้ายขึ้นสู่โลกออนไลน์อย่างสะดวกและรวดเร็ว แต่ยังมี “การให้” อีกรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่อาจทำผ่านหน้าจอได้ นั่นคือ”การบริจาคโลหิต” ซึ่งต้องอาศัยความสมัครใจ ความกล้าหาญ และร่างกายที่แข็งแรง เดินทางไปบริจาคยังสถานรับบริจาค ไม่สามารถทำผ่านออนไลน์ได้ เพราะโลหิตทุกหยดไม่ใช่เพียงของเหลวสีแดง หากคือพลังชีวิตที่สามารถต่อเวลาและความหวังให้ผู้คนอีกมากมาย
ในความตระหนักถึงคุณค่าของการให้ที่ยิ่งใหญ่นี้ บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำตลาดอาหารเสริมสุขภาพภายใต้แบรนด์ BRAND’S ในประเทศไทยและอินโดไชน่า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายซุปไก่สกัด จึงร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เดินหน้าสานต่อโครงการ “แบรนด์ พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต 2569 (BRAND’S Young Blood 2026)” มุ่งระดมโลหิตทั่วประเทศ เสริมความมั่นคงของโลหิตสำรอง พร้อมชวนเยาวชนไทยร่วมส่งต่อพลังเล็ก ๆ ของตนเอง ให้เติบโตเป็น “พลังที่ยิ่งใหญ่” ผ่านการบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง
ปิยนันท์ คุ้มครอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านจัดหาโลหิตและภาพลักษณ์องค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มีภารกิจหลักในการให้บริการโลหิตที่เพียงพอ มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานสากล เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ แต่ละปีมีความต้องการใช้โลหิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8-10 ในปี 2567 มีการบริจาคโลหิต 2,539,416 ยูนิต ขณะที่ในปี 2568 มีผู้บริจาคโลหิตในกลุ่มเยาวชนอายุ 17 – 22 ปี จำนวน 216,400 คน ได้รับโลหิตจำนวน 261,115 ยูนิต คิดเป็นร้อยละ 10 ของปริมาณโลหิตทั้งหมด ถึงแม้ว่าการจัดหาโลหิตจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นทุกปี

ปิยนันท์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยจำเป็นต้องสำรองเลือดในคลังให้เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่มีหลายปัจจัยซ้อนทับกัน ทั้งสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติจำเป็นต้องสำรองเลือดเพื่อส่งต่อให้โรงพยาบาลกว่า 135 แห่ง รวมถึงสถานการณ์สงครามบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ต้องจัดหาโลหิตสำรองให้กับโรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนอย่างน้อย 3 จังหวัด ขณะนี้ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติยังได้เร่งจัดส่งโลหิตไปยังพื้นที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีการกระจายโลหิตไปเก็บสำรองไว้ที่ศูนย์บริการโลหิตภาคอุบลราชธานีและนครราชสีมา เพื่อให้โรงพยาบาลในพื้นที่สามารถเบิกใช้ได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
“นอกจากนี้ ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ยังเป็นช่วงที่มีการเดินทางจำนวนมาก ทำให้อุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้น โรงพยาบาลทั่วประเทศจึงมีความต้องการใช้โลหิตมากกว่าปกติ โดยขณะนี้มีการเบิกโลหิตเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 2 เท่า จากเฉลี่ยวันละประมาณ 4,000-5,000 ยูนิต และในวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมามีการเบิกโลหิตเข้ามาถึง 8,000 ยูนิต เพิ่มขึ้น 2 เท่า ทั้งนี้ตามนโยบายงานบริการโลหิต ควรมีโลหิตสำรองไม่น้อยกว่า 3,000 ยูนิตต่อวัน แต่ในความเป็นจริงปัจจุบันมีโลหิตสำรองไม่ถึง 1,000 ยูนิตในทุกกรุ๊ปเลือด โดยกรุ๊ปโอเป็นกรุ๊ปที่มีผู้บริจาคมากที่สุด สอดคล้องกับสัดส่วนประชากร ขณะที่กรุ๊ปอื่น ๆ อย่างเอ บี และเอบี มีจำนวนผู้บริจาคน้อยกว่า” ปิยนันท์ กล่าว
อีกประเด็นสำคัญคือ สัดส่วนผู้บริจาคโลหิตกลุ่มเยาวชนลดลงอย่างน่าเป็นห่วง ก่อนสถานการณ์โควิด-19 เยาวชนเคยเป็นแหล่งโลหิตสำคัญ คิดเป็นประมาณ 20–24% ของผู้บริจาคทั้งหมด แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงราว 10% เท่านั้น และการบริจาคในกลุ่มประชาชนทั่วไปมีประมาณ 90% ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติจึงอยากเห็นเยาวชน โดยเฉพาะนักเรียน นิสิต นักศึกษา กลับมามีบทบาทในการบริจาคโลหิตอีกครั้ง เพื่อเติมเต็มโลหิตสำรองของประเทศ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ร่วมกันบริจาคโลหิตในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงของโลหิตสำรองให้เพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยและรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ เพราะการให้โลหิตหนึ่งครั้ง อาจหมายถึงการต่อชีวิตให้ใครอีกหลายคน โดยผู้บริจาคโลหิตสามารถทำประจำได้ทุก 3 เดือน เพื่อให้มีการบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอและมีโลหิตเพียงพอสำหรับผู้ป่วย ตามมาตรฐานงานบริการโลหิต เพื่อพร้อมใช้ในกรณีฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที

ด้านมธุวลี สถิตยุทธการ รองประธานบริหารฝ่ายบรรษัทสัมพันธ์ ประเทศไทยและอินโดไชน่า บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ค่านิยมหลักขององค์กรการตอบแทนกลับคืนสู่สังคม (Giving Back to Society) โดยโครงการแบรนด์ พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจดังกล่าว และได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องยาวนานจนก้าวเข้าสู่ปีที่ 26
สำหรับโครงการนี้ ตั้งเป้าระดมโลหิตทั่วประเทศ พร้อมส่งเสริมให้เยาวชนไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์หลากหลายรูปแบบ ควบคู่กับการปลูกฝังจิตสำนึกแห่งการเป็นผู้ให้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืนในระยะยาว จากการดำเนินโครงการในปี 2568 ที่ผ่านมา สามารถรวบรวมโลหิตจากเยาวชนทั่วประเทศและส่งมอบให้แก่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยได้ 261,115 ยูนิต เพื่อสนับสนุนปริมาณโลหิตสำรองอย่างต่อเนื่อง และนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วประเทศได้ ทั้งในภาวะปกติและในสถานการณ์ฉุกเฉิน