หนุ่มญี่ปุ่นเข้าห้ามชายลูกครึ่งแมาทะเลาะแฟน สู้ไม่ได้ชักมีดแทง ญี่ปุ่นดับคาพัทยา มือมีดไม่สลด หวิดโดนเพื่อนคนตายรุมยำคาโรงพยาบาล
เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 29 ธ.ค.67 ร.ต.อ.วุฒิกรณ์ ปลอดโปร่ง รอง สวป.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทมีผู้บาดเจ็บ เหตุเกิดริมถนนพัทยาสายสาม ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังรับแจ้งจึงรายงานผู้บังคับบัญชา พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองพัทยา ให้ทราบ พร้อมนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน เจ้าที่กู้ภัยสว่างบริบูรณ์ธรรมสถานเมืองพัทยารีบไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุพบหนุ่มชาวญี่ปุ่น อายุ 27 ปี ถูกอาวุธมีดแทงเข้ากลางหน้าอก ได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนจมกองเลือด มีพลเมืองดีพยายามเรียกให้ได้สติ โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น พร้อมกับปั๊มหัวใจเพื่อช่วยชีวิต ก่อนเคลื่อนย้ายส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน
ส่วนคู่กรณีทราบชื่อคือนายเดวิด อายุ 36 ปี หนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษ ได้รับบาดเจ็บปูดบวมที่ใบหน้าถลอกตามร่างกายเสื้อฉีกขาด อยู่ในอากาศมึนเมาสุราอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ได้ ซึ่งเจ้าตัวยังไม่มีทีท่าสลด ยังคงยกมือโชว์สัญลักษณ์ไอเลิฟยู ให้เจ้าหน้าที่ ในที่เกิดเหตุยังพบอาวุธมีดพกที่ใช้ก่อเหตุตกอยู่ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบถามนายแบงค์ อายุ 22 ปี คนเห็นเหตุการณ์ ให้ข้อมูลว่า ก่อนเกิดเหตุสังเกตเห็นหนุ่มลูกครึ่งทะเลาะกับแฟนชาวต่างชาติ ทั้งตนและชาวญี่ปุ่นเข้าไปห้ามปราม จนทำให้หนุ่มลูกครึ่งเข้าใจผิด จนเกิดไปมีปากเสียงแล้วชกหน้าชาวญี่ปุ่น ตนไล่ให้ทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันไป แต่ไม่นานชาวญี่ปุ่นได้วิ่งปรี่เข้าต่อยหน้าหนุ่มลูกครึ่งคืน ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นอีกครั้ง ทุกคนพยายามช่วยกันห้าม แต่ไม่ทันหนุ่มลูกครึ่งได้ชักมีดแทงชาวญี่ปุ่น จนล้มลงต่อหน้าต่อตาทุกคน หลังเกิดเหตุจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบดังกล่าว
ต่อมาตำรวจเคลื่อนย้ายตัวผู้ก่อเหตุส่งโรงพยาบาล เนื่องจากได้รับบาดเจ็บไหล่ข้างซ้ายหลุด แต่เมื่อถึงที่โรงพยาบาล แฟนสาวและกลุ่มเพื่อนของชาวญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในอาการเสียใจโกรธแค้น เนื่องจากทางโรงพยาบาลแจ้งข่าวร้ายว่า ผู้บาดเจ็บทนพิษบาดแผลไม่ไหวได้สิ้นใจลงแล้ว ก็พากันตะโกนด่าลั่นโรงพยาบาล และจะวิ่งเข้าไปหมายจะทำร้าย แต่เจ้าหน้าที่พาเคลื่อนย้ายไปได้ทัน จึงไม่เกิดเหตุการณ์บานปลายขึ้น
เบื้องต้นร.ต.อ.อิทธิพร ตั้งชูทวีทรัพย์ รองสว.สอบสวนสภ.เมืองพัทยา ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนลงพื้นที่หาเบาะแส และหลักฐานเพื่อเอาผิดผู้ก่อเหตุตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป