ปีเก่ากำลังผ่านพ้น ปีใหม่กำลังเข้ามาแทนที่ ตลอดปี 2024 มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในวงการกีฬาไทย ซึ่งไฮไลต์ที่สุดแห่งปีคงหนีไม่พ้น การได้เข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส “ปารีสเกมส์” เมื่อ 26 กรกฎาคม-11 สิงหาคม ที่ผ่านมา ของทัพนักกีฬาไทย
นี่คืออีกหนึ่งโอลิมปิกเกมส์ แห่งความทรงจำ และมีเหตุการณ์ที่น่าประทับใจมากมาย โดยทัพนักกีฬาไทย คว้าโควตาเข้าร่วมการแข่งขันได้มากถึง 51 คน และในจำนวนนี้มี 6 คนด้วยกันที่ก้าวไปถึงเหรียญรางวัล
1 เหรียญทองจาก “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เทควันโดรุ่น 49 ก.ก.หญิง ถือเป็นเหรียญที่มีความหมายอย่างมากในหลายๆด้าน ทั้งในแง่ผลงานการสร้างชื่อให้ทัพนักกีฬาไทย และผลงานส่วนตัวของ “น้องเทนนิส” เอง ที่ปิดฉากเส้นทางรับใช้ชาติอย่างสวยหรู ด้วยการป้องกันเหรียญทองเอาไว้ได้
ขณะที่เหรียญเงิน แบดมินตันชายเดี่ยว ของ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะถือเป็นเหรียญแรกในประวัติศาสตร์ของวงการแบดมินตันไทย และทำให้กีฬาแบดมินตันกลับมาฟีเวอร์ เช่นเดียวกับตัวของ “วิว” กุลวุฒิ เองก็กลายเป็นไอดอลที่เป็นต้นแบบให้กับเยาวชนหันมาเอาเยี่ยงอย่าง
อีกหนึ่งชนิดกีฬาที่มาเงียบๆ แต่ฟาดเหรียญเพียบมาโดยตลอดคือ ยกน้ำหนัก ซึ่งครั้งนี้กวาดไป 2 เหรียญเงิน จาก “ฟ่าง” ธีรพงศ์ ศิลาชัย ยกน้ำหนัก รุ่น 61 ก.ก.ชาย, “เวฟ” วีรพล วิชุมา ยกน้ำหนัก รุ่น 73 ก.ก.ชาย และ 1 เหรียญทองแดง จาก “ออย” สุรจนา คำเบ้า ยกน้ำหนัก รุ่น 49 ก.ก.หญิง ซึ่งนอกจากผลงานแล้ว ทั้ง 3 คนยังเข้าไปอยู่ในใจแฟนกีฬาชาวไทย ด้วยนิสัยน่ารัก ซื่อๆ ตรงๆ ตามประสา
เหรียญสุดท้าย อีก 1 ทองแดง จาก “บี” จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง มวยสากล รุ่น 66 ก.ก.หญิง ที่เรียกว่าเป็นการกู้หน้าให้กับสมาคมกีฬามวยสากลฯ ก็ว่าได้ เพราะ 8 โควตาที่มวยสากลได้มา มีเพียง จันทร์แจ่ม คนเดียวที่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งในรอบตัดเชือก เธอยังโชว์ความใจสู้ดวลหมัดกับ อิมาน เคลิฟ นักชกจากแอลจีเรีย ซึ่งมีข้อพิพาทเรื่องการตรวจเพศ อย่างสุดกำลัง แม้สุดท้ายจะพ่าย แต่จันทร์แจ่มก็ได้ใจแฟนกีฬาชาวไทยทั้งประเทศไปแบบเต็มๆ
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคน ที่แม้ไม่ได้เหรียญรางวัล แต่ก็สร้างความประทับใจเอาไว้อย่างน่าชื่นชม ยกตัวอย่าง “บิว” ภูริพล บุญสอน ลมกรดที่เร็วที่สุดในอาเซียน ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ วิ่ง 100 เมตรชาย ได้เป็นคนแรกของไทย หรือจะเป็น “น้องเอสที” วารีรยา สุขเกษม นักสเกตบอร์ด วัย 12 ปี ซึ่งเป็นนักกีฬาไทยที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ได้เข้าแข่งขันโอลิมปิก
ส่วนผลงานโดยรวมนั้น ทัพนักกีฬาทีมชาติไทย จบอันดับที่ 44 ร่วมกับ จาไมกา และแอฟริกาใต้ โดยนับเป็นอันดับที่ 11 ของทวีปเอเชีย ต่อจาก จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อุซเบกิสถาน, อิหร่าน, บาห์เรน, ไต้หวัน, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์, และอินโดนีเซีย
ขณะที่ในย่านอาเซียน ไทยเป็นอันดับ 3 โดยอันดับ 1 คือ ฟิลิปปินส์ จบอันดับ 37 คว้าไป 2 ทอง 2 ทองแดง ตามมาด้วย อินโดนีเซีย จบอันดับที่ 39 ร่วม ได้ 2 ทอง 1 ทองแดง
ด้านเจ้าเหรียญทองตกเป็นของ สหรัฐอเมริกา 40 เหรียญทอง ตามมาด้วยอันดับที่ 2 คือ จีน ที่ได้ 40 เหรียญเท่ากัน แต่สหรัฐอเมริกาได้เหรียญเงินมากกว่า ส่วนอันดับที่ 3 ญี่ปุ่น 20 ทอง, อันดับที่ 4 ออสเตรเลีย 18 ทอง และอันดับที่ 5 ฝรั่งเศส 16 ทอง
จากผลงานทั้งหมดของทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิก ได้สร้างความสุขให้กับชาวไทยไปช่วงระยะหนึ่งเลยทีเดียว
คงจะดีไม่น้อยหากนำสิ่งเหล่านี้มาต่อยอดได้ ซึ่งแน่นอนว่าการวางแผน และเตรียมพร้อมของทัพนักกีฬาไทย นับตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป คือสิ่งที่สำคัญ
จนกว่าจะถึงตอนนั้น หวังว่าความสุขจากความสำเร็จจะเกิดขึ้นอีกครั้งในโอลิมปิกเกมส์ 2028 ที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา