ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“...ถดูกาลของชีวิต..คือนัยความหมายอันลึกซึ้งและกินใจ..ต่อความรู้สึกรับรู้ของคนเราเสมอ..นั่นคือวิถีที่เป็นทั้งโชคชะตาและสัจธรรม..เหตุนี้เรื่องราวในทุกๆเรื่องราว ที่อุบัติขึ้นกับความเป็นไปของชีวิต จึงเป็นรูปรอยของความทรงจำที่..ตอกย้ำและค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความฝังลึกในจิตวิญญาณเสมอ..มันคือความหมายที่อยู่เหนือความหมาย..ประหนึ่งความบริสุทธิ์ใจอันชื่นเย็น..ที่พัดโชยเข้ามากระทบชีวิต...หยั่งลึกลงไปในเจตจำนง..กระทั่งกลับกลายเป็น..โครงสร้างแห่งการดำรงอยู่อันถาวร..ในที่สุด...”
..ล่วงสู่ฤดูหนาวแล้ว..พร้อมกับการเริ่มต้นของปีใหม่แห่ง “โลกของอีกชีวิต” อีกครา..
“เมื่อลมหนาวล่อง” รวมเรื่องสั้นสร้างสรรค์ในสารพันสาระของ “คบเพลิง สราญ” นักเขียนฝีมือดี...ที่จดจ่ออยู่กับเนื้อในของชีวิต ได้ปลูกสร้างและบันทึกไว้..อย่างตั้งใจ..ด้วยถ้อยคำสำนึกอันจริงใจ ด้วยสายตาแห่งจิตใจ ที่มองเห็นปรากฏการณ์รอบข้างอย่างเข้าใจและรื่นรมย์..ด้วยสายทางแห่งความรู้สึกที่ทอดยาวไปสู่อนาคตอย่างพินิจพิเคราะห์ัและเต็มใจ..ผ่านเรื่องสั้นจำนวน 13 เรื่อง..
สิ่งปลูกสร้างทางวรรณกรรมทั้งหมดนี้โดย “คบเพลิง” คือเครื่องยืนยันถึงแสงสว่างทางปัญญาที่ควรไตร่ตรอง เป็นพลังแห่งประสบการณ์ที่ย้ำเตือนตัวตนแห่งตน..ในนามแห่งคุณค่าอันสมบูรณ์..
“..ชีวิตข้าพเจ้าวนเวียนอยู่ ระหว่างเมืองกับป่า..ได้สัมผัสถึงความแตกต่างระหว่าง การดิ้นรนกับการคล้อยตามธรรมชาติ..ความรู้สึกหวงแหนป่าไม้สายน้ำ แล่นเข้าจับจิตใจ จนต้องขึ้นมาอยู่บนดอยทุกปี..แจ่มแจ้งในกาลต่อมาว่า ทำไมเธอถึงได้ดื้อดึงต่อคำเตือนของข้าพเจ้าเป็นนักหนา .วันนั้นจวบจนวันนี้..ทุกคราที่ ลมหนาวล่อง....”
“คบเพลิง” ..บันทึกและสรรค์สร้างเรื่องราวของเขาส่วนหนึ่งด้วยฉากทัศน์ทางภาคเหนือของประเทศ ..ด้วยความเข้าใจและคุ้นชิน..ในวัฒนธรรมของการดำรงอยู่..ตลอดจนบริบทแห่งการกระทำอันเป็นเอกลักษณ์ ..อาจเนื่องเพราะได้มีโอกาสใช้ชีวิตในพื้นที่ชีวิตเหล่านี้.. ณ ช่วงหนึ่งแห่งการเรียนรู้..การเดินทาง อยู่ร่วม และ สำรวจ..ผ่านนัยเชิงประสบการณ์ มีส่วนทำให้ได้รับ ผัสสะแห่งภาษา และ เนื้อในแห่งการอยู่ร่วมของชีวิตกับชีวิตมาไม่น้อย..
“..วิทยาศาสตร์..ถ้ามันบ่ยะฮื้อธรรมชาติเพี้ยนไป..เปิ้นก่ฮับได้ ยังใคร่สนับสนุนโตยแถมซ้ำ..เปิ้นเป็นคนมีเหตุผลเน้อ..เปิ้นบ่ได้ต่อต้านไปเหียกู้เรื่อง..เปิ้นบ่จำเป๋นต้องบอกไป ไผกึ๊ดจะได ไผคนนั้นก่หันจะอั้น”
ภาษาถิ่นเหมือนคำประกาศของคนพื้นถิ่น..ยิ่งถิ่นที่อยู่อาศัยถูกรานรุกด้วยกลุ่มบุคคลผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน..การลืมกำพืดและภาษาใจระหว่างกัน..จึงคือโศกนาฏกรรมซ้ำซ้อนที่โบยตีชีวิตของคนพื้นถิ่น..จนแทบไม่รู้ตัว..!
ภาวะเปรียบเทียบในผัสสะแห่งกลิ่นอายที่งดงามของ “กาแฟ” กับเนื้อในอันหมองเศร้าของโชคชะตาชีวิต..ทำให้สมควรต้องหยุดพิจารณา..สถานะและบทบาทแห่งการดำเนินไปในความเป็นตัวตนแห่งยุคสมัย..อย่างจริงจัง..ท่ามกลางบรรยากาศแห่งธรรมชาติอันงามตระการ อาจมีอะไรที่ดำมืด เร้นซ้อนอย่างกลืนกินอยู่ข้างใต้ชีวิต..
“เสียงคั่วกาแฟดังมาจากโรงงานที่ปลายไร่..เหนือเปลวไฟระอุ..เมื่อเริ่มต้นไหม้..น้ำมันจากเมล็ดกาแฟจะค่อยๆเยิ้มออกมา..กลิ่นของมันโชยมา จรุงหอมอ่อนๆ..ดอกไม้นานาพันธุ์เข้าผสมกับกลิ่นละมุนจากถ้วยกาแฟ..ทำให้อารมณ์เตลิดไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า..”
หากแต่ว่า..ในความเป็นจริงของโลกวันนี้นั้น..ชีวิตไม่ได้มีกลิ่นอายใดๆที่หอมหวานดั่งฝันนัก..แต่มันกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดระหว่างการเดินทางอย่างสิ้นหวังและหดหู่..ในบริบทของสถานการณ์แห่งโลกโดยแท้จริง..
“หนึ่งปีจากนั้น..ผมตกงานตามคาด ..เมื่อรู้ข่าวเขาก็รีบโทรมาหา..ผมดีใจที่ได้ยินเสียงเขา..บางครั้งเพียงได้ยินเสียงของคนที่ร่วมชะตากรรม ใจที่งุ่นง่าน กลับสงบลงได้มาก..ฟังจากน้ำเสียง..เขายังคงเข้มแข็งเหมือนเดิม..แต่จากนั้นเพียงสองเดือน..เขากลับกระทำอัตวินิบาตกรรม โดยยิงตัวตาย เพราะแก้ปัญหาเรื่องงานและเงิินไม่ตก..เป็นไปได้อย่างไร ที่คนที่ดูเข้มแข็งอย่างแข็งขัน ใจกลับอ่อนแอเสียน่าตกใจ..”
สาระแห่งเรื่องสั้นเปิดเรื่อง "เกิบแตะกาแฟดอย" เรื่องนี้..มีนัยหลายสิ่งที่..ทำให้ภาวะสำนึกของการรับรู้..ต้องหมุนคว้างอย่างเงียบงันไป..จนไม่น่าเชื่อ..!
ลึกลงไปในเรื่องราวโดยรวมทั้งหมด มีการสูญเสียศรัทธา..อันเกิดขึ้นจากความหยาบกร้านและมืดดำปรากฏอยู่..มันเปรียบดั่งทางขวางของธารสำนึกที่ดีงาม..การทำร้ายจิตใจด้วยการ..สังหารของรักของผู้อื่น..ผ่านความไม่รักของใครบางคนที่หยาบกระด้าง..คือภาพเปรียบเทียบของโลกแห่งจิตใจอันแท้จริงของวันนี้..ที่มนุษย์กระทำต่อกัน..หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดในฐานะชีวิตอย่างไร้หัวใจและความกรุณา.."ริมคลองนั้นมีเป็ดกับผม"จึงเชื่อมโยง..อารมณ์ความรู้สึกที่สั่นสะท้านไปถึงเรื่องราวแห่งอุดมการณ์ของการเสียสละชีวิตอันทรงคุณค่า..ที่ต้องละจากไป.ด้วยความโหดร้ายอันไร้สาระ...ของความขัดแย้งแห่งความเป็นศัตรู..ที่ไม่เคยสัมผัสหรือรู้จักกัน..การสูญเสีย.ในเรื่องสั้น “เพลงของพี่”..อาจนับได้ว่ามันเป็นภาพสะท้อนแห่งภาพสะท้อนในวิกฤติแห่งการอยู่ร่วมกันของเหล่ามวลมนุษย์ที่ยากจะหาคำตอบ..อย่างซ้ำๆโดยแท้..!
...สภาวะของการแสดงน้ำจิตน้ำใจต่อกัน..นับเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่. “คบเพลิง” ใช้เป็นเครื่องแสดงเจตจำนงแห่งเรื่องสั้นของเขา...มันคือการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา..ในกระบวนการดำรงอยู่ของชีวิตที่ผูกพัน..เสียสละ และ รองรับ ความเป็นไปแห่งรหัสนัยอันเนื่องมาแต่ชีวิตร่วมกัน.. "วันจิตวิปโยค" เรื่องราวที่สะท้อนอารมณ์ร่วมแห่งการสูญเสียชีวิตของคนที่รัก..ในเหตุการณ์"สึนามิ"เมื่อหลายปีก่อน..ได้สื่อถึงอ้อมกอดของความกรุณาอันสูงส่ง..ที่ส่งผลเยียวยาจากการสูญเสีย..ให้บรรลุสู่พันธสัญญาแห่งชีวิตที่เกื้อกูลต่อกัน อย่างน่ายกย่อง..
“พี่ชายน้องสาวถูกเลี้ยงมาด้วยกันก็จริง แต่เด็กทั้งคู่ก็แยกห้องนอน น้องสาวนอนกับพ่อแม่ ส่วนพี่ชายแยกไปนอนห้องส่วนตัว
เมื่อทั้งสองเติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นเกิดรักชอบกัน..ไม่ใช่ฉันพี่น้อง ผมกับภรรยาก็ยินดีไม่ปิดกั้น ..ทั้งยังเล่าความแต่หนหลังให้เด็กหญิงฟังตั้งแต่รู้ความ..เพราะไม่ต้องการทำร้ายเธอด้วยการปิดบังเรื่องราวต่างๆ..
ที่ผ่านมา..ดูลูกสาวก็ไม่ได้เศร้าโศก เสียใจอะไรมากนัก..อาจเป็นเพราะตอนนั้นเธอยังเด็กมาก แม้จะดูซึมไปบ้าง แต่ต่อมาเธอก็กลับมาเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดี ไม่มีทีท่าซึมเศร้าให้เห็นอีกเลย..”
โครงเรื่องที่เปิดเปลือยให้เห็นถึงเนื้อในของความรู้สึกเช่นนี้..เป็นความเรียบง่ายแห่งการเขียน..ที่ “คบเพลิง” ดูเหมือนจะดักทางความรู้สึกของผู้อ่านไว้ ด้วยสัญชาตญาณทางด้านดี..ที่มนุษย์พึงกระทำต่อมนุษย์ ซึ่งในพื้นฐานของความจริง มันย่อมไม่ง่ายดายนักหรอก.แต่ในรูปรสของประพันธกรรม..นี่คือตัวอย่างหนึ่ง ของสัมพันธภาพแห่งใจ ที่ไม่อาจปฏิเสธได้..
ในเรื่องสั้น “ตลับดิน” ภาพเปรียบเทียบแห่งสัญชาตญาณของเด็กๆกับธรรมชาติแห่งความเป็นนักสู้ของ "จิ้งหรีด" สัตว์ที่ถูกปั่นหัวให้ต้องขบกัดจนตาย ในเกมเด็กเล่นที่จริงจัง..ในนัยทั้งหมด ถูกผูกโยงมาถึงเล่ห์กลทางการเมืองที่ขบกัดกันอย่างแฝงเร้นของเหล่าผู้ใหญ่..ผ่านความไร้เดียงสาในการไม่รู้เท่าทันอันไม่รู้จบ..ภาพแห่งการปั่นหัว..อันน่าขบคิดนี้ จึงเป็นส่วนผสมระหว่างความจริงแท้และความจริงลวงของกลเกมทางการเมืองของประเทศที่วกวนซ้ำซาก..ห่างไกลไปจากความเป็นจริงแห่งจิตใจของพัฒนาการ..อย่างสิ้นหวัง..
“บ่าช่วยกั๋นคัดค้านยุบโฮงเฮียน..กั๋นสักคน ปล่อยหื่นหละอ่อนลำบาก..”
... เด็กชาย..ไม่เข้าใจที่ย่าบ่น..ภาพของพ่อแม่พี่สาวถูกต้อนให้ขึ้นรถกระบะยังติดตา.. “แคล้ว” เอาตลับดิน ขึ้นมาดู พลิกหน้าพลิกหลังไปมา "เจ้านักรบ"ยังคงวิ่งพล่านอยู่หลังลูกกรงอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย..
“นั่งมองจิ้งหรีดหนุ่มวิ่งวนไปมาได้พักใหญ่ อย่างไม่รู้ตัว..เด็กชายค่อยๆ ดึงเอาไม้กลัดออกจากตลับดินทีละก้าน..ทีละก้าน”
“คบเพลิง” ให้ข้อสรุป"โลกแห่งเรื่องเล่าของเขา"ไว้ในเรื่องสั้นปิดท้าย “หิมะตกที่ศรีสัชนาลัย” เรื่องสั้นแห่งโลกอนาคต..งานทดลองความคิดอันชวนติดตาม และ น่าศึกษา..
ณ วันนี้ เราอาจเผชิญชะตากรรมที่ยากจะเลี่ยงพ้นมากมาย แต่ในวันข้างหน้า อุบัติการณ์ต่างๆ อาจคล้ายเหมือนอุบัติเหตุของชีวิต..มีเศร้าสลดแต่กลับไม่มีใครใส่ใจ..ความเก่าแก่อาจเป็นอนาคตที่ถูกลืมเลือนและเพิกเฉยเป็นสมบัติแห่งการทิ้งขว้าง..แม้มันจะคือห้วงความจริงอันยากจะปฏิเสธของโลกกว้างก็ตาม..มันคือข้อสรุปที่ไม่มีปลายทาง..และอาจจะพินาศลงได้..ในชั่วครู่ชั่วยามอย่างไรเกราะกำบัง..ใดๆ..!
“มนุษย์โลกล้างผลาญกันเอง กระทั่งใกล้ถึงกาลวิบัติ เป็นดั่งนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์..ดูเหมือนคนตายเท่านั้น..ไร้ถูกผิด วุ่นวาย...เสียดายที่ต้องจากโลกนี้ไป..ทั้งที่มันเพิ่งเริ่มต้น..นับหนึ่งใหม่..!”
..หลายๆขณะ..ที่วรรณกรรมทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นในหัวใจ..ที่เคลื่อนขยาย..ดี งาม จริง ลวง ล้วนคือบทตอนแห่งโลกสะท้อนกลับ..ในธารสำนึกแห่งการแสดงซ้อนการแสดงที่วกวน..ในผัสสะ..ที่เหมือนจะเรียบง่ายและตรงไปตรงมาของ “คบเพลิง”
การณ์ปรากฏ แห่งหนังสือเล่มนี้เมื่อได้อ่านจบลง..กลับคือความหน่วงหนักแห่งการรับผิดชอบ..ที่ชีวิตในแต่ละชีวิตต้องหยั่งเห็น และเอื้อมอ้อมแขนออกไปโอบกอดในนัยแห่งจิตวิญญาณของกันและกัน..อย่างสงบงาม และ เป็น..ความบริสุทธิ์ใจ
ทั้งหมด..จักทำให้เกิดความตื่นตระการกับโครงสร้างความคิด และการแสดงออกถึงกลวิธีในการคลี่คลายปมปัญหาจากภาวะวิกฤติ..สู่โลกแห่งความฝันใหม่อันเป็น..นิรันดร์..!
“มนุษย์นั่นเองคือรากเหง้าแห่งปัญหาทั้งปวง..ชอบธรรมแล้วที่ธรรมชาติ ต้องควบคุมจำนวนประชากรมนุษย์ ไม่ให้มีมากจนเกินไปจนเสียสมดุล..แล้วอะไรเล่าที่จะใช้ควบคุม หากไม่ใช่มนุษย์ด้วยกันเอง..”