ธปท. ชี้ศก.ไทยปีนี้ยังไม่แน่นอนสูง ปัจจัยท้าทายเพียบ คาดอุตฯรถยนต์กระทบหนักสุด สะเทือนแรงงานกว่า 1 ล.คน
เมื่อวันที่ 6 มกราคม นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งจากปัจจัยเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความรุนแรงขึ้น รวมถึงนโยบายของประเทศคู่ค้าหลักที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะนโยบายของเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะเห็นผลกระทบชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง และในภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันภายนอกประเทศสูงขึ้น และปัจจัยโครงสร้างในด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์
นายสักกะภพ กล่าวว่า ด้านนโยบายการเงิน ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้แต่ยังมีการฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมกัน และมีความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่ยังสูงขึ้น โดยเฉพาะครึ่งหลังของปีนี้ ดังนั้นการดำเนินนโยบายการเงินจะต้องมีความยืดหยุ่น และสามารถรองรับกับสถานการณ์ที่มีความหลากหลาย และให้ความสำคัญกับการรักษากันชนด้านนโยบาย (policy buffer) ในแง่ต่างๆ ไว้ด้วย รวมถึงพิจารณาผสมผสานเครื่องมือในเชิงนโยบายให้เหมาะสมกับพัฒนาการที่จะเกิดขึ้น
“ส่วนทิศทางค่าเงินบาทในปีนี้ มองว่า ยังมีความผันผวน จากนโยบายเศรษฐกิจที่มีความท้าทายและคาดเดาได้ยาก ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงิน หรือ อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนไปด้วย”นายสักกะภพ กล่าว
นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นความท้าทายไม่เฉพาะกับประเทศไทยเท่านั้น และในระยะต่อไปมีความท้าทายค่อนข้างมาก โดยประเด็นที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทย ถ้ามองในภาพรวมเศรษฐกิจไทย ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่จะมีผลในแง่ของแรงงาน ซึ่งจะกระทบถึงแรงงานกว่า 1 ล้านคน ทำให้กระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยในประเทศได้
นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.9% โดยแรงขับเคลื่อนหลักจากอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่การท่องเที่ยวปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 39.5 ล้านคน ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับระดับศักยภาพ โดยแรงส่งสำคัญมาจากการส่งออกสินค้า ที่ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.7% ด้านการนำเข้าขยายตัวได้ 1.7% การท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ
นางปราณี กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยปีนี้ ยังมีปัจจัยบวกจาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ มาตรการเงินดิจิทัล เฟส 2 และ เฟส 3 มาตรการอีซี่ อี-รีซีท ลดหย่อนภาษี ที่จะต้องติดตามว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ปัจจัยลบต้องติดตาม ความรุนแรงของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
“ครึ่งแรกของปีจะเห็นการเร่งส่งออกสินค้า แต่ในระยะต่อไปจะมีความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ ที่จะทำให้ครึ่งปีหลังแผ่วลง แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ใกล้เคียงระดับศักยภาพ แต่การฟื้นตัวยังมีความแตกต่างกัน โดยกลุ่มที่ฟื้นตัวดีคือ ภาคการท่องเที่ยวและบริการอื่นๆ ขณะที่กลุ่มที่ฟื้นตัวช้า คือ อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ยังเป็นกลุ่มที่มีพัฒนาการแย่ลง โดยการผลิตยานยนต์ปีที่ผ่านมาลดลง จากวัฏจักรเชิงโครงสร้าง เป็นต้น”นางปราณี กล่าว
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า เงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.1% ด้านภาวะการเงินโดยรวมสามารถทำหน้าที่สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยแม้ว่าจะเห็นสินเชื่อชะลอลง เป็นผลจากความต้องการสินเชื่อลดลง ส่วนหนึ่งจากธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพึ่งพาสินเชื่อน้อยลง ความเสี่ยงด้านเครดิตอยู่ในระดับสูง และการชำระคืนหนี้ที่กู้ยืมไปในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19