วิโรจน์ โต้ยิบทูตรัศม์ ปม 4 ลูกเรือประมง ยันกมธ.ไปเยี่ยม เป็นเรื่องมนุษยธรรม ไม่ใช่การเมือง
เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีที่ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาเตือนหลังขออนุญาตลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง 4 ลูกเรือไทยที่ถูกเมียนมาจับว่า อย่าเอาชีวิตคนมาเป็นการเมือง โดยนายวิโรจน์ ยืนยันว่า “การขอเดินทางไปเยี่ยมลูกเรือประมงไทยที่เกาะสอง ของ กมธ.ทหาร เป็นเรื่องมนุษยธรรมไม่ใช่การเมือง
วันนี้ ผมได้พูดคุยกับคุณเมย์ วรรณทกานต์ พรหมนิมิต บุตรสาวของคุณถาวร พรหมนิมิต และคุณปุ้ย กมลทิพย์ มงกุฎทอง บุตรสาวของคุณสุนันท์ มงกุฎทอง สองในสี่ลูกเรือประมงไทย ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เกาะสองประเทศเมียนมา ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัด ที่พิพากษาให้จำคุกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม67 ที่ผ่านมา
ซึ่งคุณเมย์ และคุณปุ้ยยืนยันกับผมว่า กรณีที่กระทรวงการต่างประเทศแถลงว่า มีผู้แทนญาติของลูกเรือประมงไทย ได้เข้าเยี่ยมลูกเรือประมงไทย น่าจะเป็นเพียงญาติของเจ้าของเรือ โดยที่ครอบครัวพรหมนิมิต และครอบครัวมงกุฎทอง ไม่ได้เข้าเยี่ยมด้วย
ที่ผ่านมา มีเพียงการพูดคุยผ่านโทรศัพท์สั้นๆ ในวันที่ 9 ธันวาคม 67 ซึ่งคุยได้เพียงไม่นานนักสายก็ถูกตัดไป
คุณเมย์ และคุณปุ้ย มีความเป็นห่วงในสวัสดิภาพ และสุขภาพของคุณพ่ออย่างมาก เพราะปัจจุบันคุณถาวร มีอายุ 64 ปีแล้ว ต้องพบแพทย์รับประทานยาความดันโลหิตสูง และยาลดไขมันในเส้นเลือดอยู่เป็นประจำ ในขณะที่คุณสุนันท์ ปัจจุบันอายุ 68 ปี ป่วยด้วยโรคกระดูกทับเส้นประสาท โรคเกาต์ และไขมันในเลือดสูง ต้องรับประทานยาเป็นประจำเช่นเดียวกัน
สาเหตุที่คุณเมย์ และคุณปุ้ย มีความเป็นกังวลอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาการรับปากจากรัฐบาลดูเหมือนจะคลาดเคลื่อนไปหมด ตั้งแต่ในวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 67 ในวันนั้น เจ้าหน้าที่ทางการไทย ก็ได้รับปากว่าประมาณ 2-3 วัน จะมีการปล่อยตัว ซึ่งก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น ต่อมาเจ้าหน้าที่ทางการไทย ก็ได้แจ้งว่า จะมีการปล่อยตัวในวันที่ 5-6 ธันวาคม 67 ก็ปรากฏว่าไม่มีการปล่อยตัว ตามที่เจ้าหน้าที่ทางการไทยแจ้ง หนำซ้ำยังมีคำพิพากษาจำคุกเกิดขึ้นอีกด้วย สร้างความหวั่นวิตกอย่างมาก
จนนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า จะใช้กระบวนการขออภัยโทษ เพื่อให้ลูกเรือไทยทั้ง 4 คน ได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 4 มกราคม 68 ซึ่งทำให้ทั้งคู่สบายใจในระดับหนึ่ง เพราะคนที่ให้ข่าวนั้นเป็นถึงระดับนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
แต่ปรากฏว่าในวันที่ 4 มกราคม 68 ที่ผ่านมา ลูกเรือไทยทั้ง 4 ชีวิต ก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว มีเพียงคำอธิบายคร่าวๆ ว่า อยู่ระหว่างการตัดสินใจของรัฐบาลกลางเมียนมา ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า กระบวนการตัดสินใจจะต้องใช้เวลาประมาณกี่วัน และลูกเรือประมงไทยทั้ง 4 คน จะได้กลับสู่มาตุภูมิได้อย่างช้าเมื่อไหร่ ทุกอย่างอยู่ในสภาวะสุญญากาศ
ผมได้แจ้งกับคุณเมย์ และคุณปุ้ยว่า กมธ.ทหาร และผมในฐานะประธาน กมธ.ทหาร กำลังประสานประธานสภาผู้แทนราษฎร และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขออนุญาตเดินทางไปเยี่ยมลูกเรือประมงไทยทั้ง 4 คน ที่เกาะสองอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 13-14 มกราคม 2568 นี้
ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่า จะได้รับการอนุญาตให้เดินทาง และได้เข้าเยี่ยมลูกเรือประมงไทยหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ทาง กมธ.ทหาร จะดำเนินการทุกทางอย่างประณีต และคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อทำให้มั่นใจว่า ลูกเรือประมงไทยทั้ง 4 คน จะได้รับการดูแลทั้งในเรื่องสวัสดิภาพ และสุขภาพเป็นอย่างดี และให้กำลังใจลูกเรือประมงทั้ง 4 คน ว่าพวกเขายังไม่ถูกลืม และทุกฝ่ายกำลังเร่งประสานทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาได้กลับบ้านอย่างเร็วที่สุด
สำหรับคนบางกลุ่ม ที่มองว่าผมพยายามทำเรื่องนี้ให้เป็นประเด็นทางการเมือง ผมขออนุญาตชี้แจงว่า สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ในกรณีนี้ เป็นเรื่องของ “มนุษยธรรม” ไม่ใช่เรื่อง “การเมือง” ถ้าที่ผ่านมาทุกอย่างเป็นไปตามที่รัฐบาลรับปาก กมธ.ทหาร ก็คงติดตามเรื่องราวอยู่ห่างๆ แต่นี่ทุกเรื่องที่รัฐบาลรับปากกลับถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรที่เป็นไปตามที่รัฐบาลพูดเลย ทุกอย่างดูตามหลังสถานการณ์ไปหมด โดยเฉพาะเรื่องที่ศาลจังหวัดเกาะสองมีคำพิพากษาให้ลูกเรือประมงไทยถูกจำคุก ผู้แทนจากกรมสนธิสัญญา ก็ได้รับข้อเท็จจริงในการประชุม กมธ.ทหาร เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 67 ว่าไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน มารู้อีกทีก็ตอนมีคำพิพากษาแล้ว
และการขอเดินทางไปเกาะสองในวันที่ 13-14 มกราคม 68 กมธ.ทหาร ก็มีมติไปตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 67 ไม่ได้เพิ่งนึกจะเดินทางวันสองวันนี้ เพราะเข้าใจดีว่า ต้องมีกระบวนการในการขออนุญาต ถ้าลูกเรือประมงไทยได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 4 มกราคม 68 ตามที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ กมธ.ทหาร ก็คงยกเลิกกำหนดการเดินทางไปแล้ว
ในเมื่อที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรเป็นไปตามที่รัฐบาลพูด หนำซ้ำปัจจุบันก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ทุกอย่างเป็นสุญญากาศ ไม่มีใครให้คำตอบกับญาติของลูกเรือประมงไทยได้ ท่าทีของรัฐบาลไทยก็ไม่จริงจัง แล้วจะให้ กมธ.ทหาร นิ่งเฉยได้อย่างไรครับ
ผมยืนยันว่า ความยุ่งยากที่เกิดขึ้น นั้นเกิดจากความไม่ใส่ใจ และความไม่จริงจังของรัฐบาล รัฐบาลไม่มีมาตรการทางการทูตที่เพิ่มความจริงจังขึ้น ที่ชัดเจนในการรับมือต่อสถานการณ์นี้
ไม่ต้องกังวล กมธ.ทหาร หรอกครับ เพราะการเดินทางในครั้งนี้ของ กมธ.ทหาร นั้นมีวัตถุประสงค์ เพื่อทำให้มั่นใจในเรื่องสวัสดิภาพ และสุขภาพของลูกเรือประมงไทยทั้ง 4 คน และเป็นการสื่อสารอย่างประณีตเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ทราบว่าในฐานะผู้แทนราษฎร พวกเรายังคงใส่ใจในอิสรภาพของลูกเรือประมงไทยทั้ง 4 ชีวิต อย่างไม่หลงลืม
ช่วยกันจี้รัฐบาลให้มีท่าทีที่จริงจังต่อกรณีนี้ จะดีกว่า