สปสช. เดินหน้าคุ้มครองสิทธิบัตรทอง ขับเคลื่อนพิสูจน์สถานะบุคคลรับสัญชาติไทย ตามมติ ครม. 29 ต.ค. 67
เมื่อวันที่ 9 ม.ค.68 รศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า บทบาทสำคัญของ สปสช. นอกจากบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) แล้ว ยังมีหน้าที่ในการคุ้มครองคนไทยทุกคนให้เข้าถึงสิทธิบัตรทอง ไม่เพียงแต่ประชาชนที่มีบัตรประชาชนเท่านั้น แต่รวมถึงคุ้มครองคนไทยที่รอการพิสูจน์สถานะให้เข้าถึงสิทธิบัตรทอง โดยการร่วมขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้การรับรองสัญชาติไทย ทั้งนี้เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา (ธ.ค. 67) สปสช. ได้จัดประชุมเรื่องเกณฑ์การพิจารณาได้สัญชาติไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 29 ต.ค. 2567 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินการจากตัวแทนหน่วยงานและภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งร่วมให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ ประกอบด้วย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักบริหารการทะเบียน และสำนักกิจการความมั่นคงภายใน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผู้แทนโรงพยาบาลที่ร่วมเป็นหน่วยเก็บสิ่งส่งตรวจดีเอ็นเอ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีองค์กรพัฒนาภาคประชาชนที่ทำงานด้านการคุ้มครองส่งเสริมสิทธิ อาทิ มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย องค์การแพลนอินเตอร์ เนชั่นแนล ประเทศไทย สมาคมพราว เข้าร่วมประชุมและให้ข้อมูล
รศ.ภญ.ดร.ยุพดี กล่าวต่อว่า วัตถุประสงค์ของการประชุมเพื่อสร้างความเข้าใจในหลักเกณฑ์เร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติ ครม. วันที่ 29 ต.ค. 67 ต้องย้ำว่าเป็นการให้สิทธิเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่มที่อพยพมาอยู่ในไทยเป็นเวลานานจนกลมกลืนและลูกหลานของคนกลุ่มนี้เท่านั้น มีจำนวน 4.8 แสนราย ไม่ครอบคลุมผู้ที่เป็นแรงงานข้ามชาติ อย่างไรก็ดีด้วยขั้นตอนการพิสูจน์สถานะที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานจนทำให้เกิดความล่าช้า ซึ่งแต่ละปีสามารถพิสูจน์สิทธิการเป็นสัญชาติไทยได้เพียงปีละ 10,000 คนเท่านั้น ดังนั้น จึงมีแนวทางปรับกระบวนการที่ให้ผู้ยื่นคำร้องสามารถรับรองตนเองว่าเข้าเงื่อนไขตามที่กำหนดได้ โดยนายทะเบียนจะเป็นผู้พิจารณาให้ใบสำคัญยืนยันถิ่นที่อยู่หรือสัญชาติไทย นอกจากลดเวลาสามารถดำเนินการได้ภายใน 5 วันแล้ว ยังมีความสะดวกเพราะทุกขั้นตอนทำได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ อย่างไรก็ดีหลังจากออกใบรับรองสัญชาติไทยแล้ว นายทะเบียนจะทำการตรวจสอบประวัติย้อนหลัง หากพบว่ามีการรับรองตัวเองเป็นเท็จก็จะถูกเพิกถอนสัญชาติไทย กลับไปเป็นบุคคลไร้สถานะเหมือนเดิม นอกจากนี้ในพื้นที่มีผู้รอพิสูจน์สถานะจำนวนมาก ยังมีแนวทางการจัด Mobile Unit เข้าไปดำเนินการโดยอาศัยอำนาจของอธิบดีกรมการปกครอง
"จากการประชุมทราบว่า ขณะนี้การดำเนินการทั้ง 2 แนวทาง กระทรวงมหาดไทยเตรียมที่จะออกประกาศรองรับ โดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจะรายงานความคืบหน้าทุก 1 ปี ภายหลังจากการออกประกาศเพื่อติดตามดูข้อมูลผู้ที่ได้รับสัญชาติ และผู้ที่ยังรอพิสูจน์สถานะที่ต้องมีความสอดคล้องกัน" รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
รศ.ภญ.ยุพดี กล่าวว่า ในส่วนของ สปสช. จากที่ได้ร่วมขับเคลื่อน ในกรณีผู้ที่ได้รับสัญชาติไทยเรียบร้อยแล้วก็จะได้รับสิทธิต่างๆ ความเป็นคนไทย รวมถึงสิทธิบัตรทองด้วยที่เป็นของคนไทยทุกคน โดยทาง สปสช. จะทำการขึ้นทะเบียนสิทธิที่หน่วยบริการ ทำให้บุคคลดังกล่าวสามารถเข้ารับบริการโดยใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มีในระบบ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งที่ผ่านมามีกลุ่มคนไทยที่รอพิสูจน์สถานะที่มีภาวะเจ็บป่วยไม่สามารถใช้สิทธิรับบริการได้ ทำให้เข้าไปถึงการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่จำเป็น ซึ่งความร่วมมือจากทุกหน่วยงานในครั้งนี้ จะทำให้เกิดความเท่าเทียมในสิทธิสุขภาพเหมือนกับประชาชนไทยด้วยกัน
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมาย 4.8 แสนคน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1.บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน (ก่อน พ.ศ. 2542) ได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติไว้แล้วในอดีตถึง พ.ศ. 2542 และสำรวจเพิ่มเติม พ.ศ. 2548 - 2554 รวมทั้งกลุ่มตกสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2554 มีเลขประจำตัว 13 หลัก ไม่ได้เกิดในไทย แต่อพยพมาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน ปัจจุบันมีจำนวน 340,101 แสนราย การดำเนินการคือได้รับสถานะคนต่างด้าวเข้าเมือง โดยชอบด้วยกฎหมาย (มีถิ่นที่อยู่ถาวร) จะมีการออกใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวรและเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านให้แก่คนกลุ่มนี้ แต่จะยังไม่ได้รับสัญชาติไทย อย่างไรก็ดีหลังจากผ่านไป 5 ปีแล้ว คนกลุ่มนี้จะมีสิทธิในการขอแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทยได้ต่อไป
2.บุตรของบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานานที่เกิดในราชอาณาจักร ลูกหลานของคนกลุ่มแรกและเกิดในไทย เช่น บุตรของชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่ม (ไม่รวมชาวต่างด้าวอื่นๆ) ปัจจุบันมีจำนวน 143,525 แสนราย โดยสามารถยื่นขอสัญชาติไทยและขอทำบัตรประชาชนได้ทันที