ธนาคารทิสโก้ชี้เป้าประเทศ และ 3 กองทุนเด่น เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือสงครามการค้า คาดอินเดีย เวียดนาม ญี่ปุ่น หุ้นพุ่งสวนกระแสโลก เคาะซื้อกองทุนหุ้นอินเดีย แนะนำ TISCOINA-A กองทุนหุ้นญี่ปุ่น แนะนำ KF-HJAPAND และกองทุนหุ้นเวียดนาม แนะนำ PRINCIPAL VNEQ-A
นางวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุน และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารทิสโก้คาดว่าหากสหรัฐ เดินหน้านโยบายกีดกันการค้าโดยเพิ่มภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าของตนในปี 2568 อาจจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศคู่ค้าของสหรัฐที่เป็นเป้าหมายของสงครามการค้าในรอบใหม่นี้
อย่างไรก็ดี ประเมินว่ายังมีบางประเทศที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตราการณ์ดังกล่าวน้อยหรือแทบจะไม่ได้ผลกระทบเลยก็เป็นได้ นั่นคือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น ทำให้ธนาคารทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นของทั้งสามประเทศดังกล่าวน่าสนใจลงทุนเป็นอย่างมากเมื่อพูดถึงการลงทุนนอกสหรัฐ
อ้างอิงข้อมูลในอดีตจาก bloomberg พบว่าระหว่างปี 2560-2562 ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐใช้มาตรการสงครามการค้านั้นไม่ใช่แค่ดัชนี S&P500 ของสหรัฐเองจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 43% แต่ตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในระดับที่สูงถึง 55%, 34% และ 21% ตามลำดับ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นประเทศอินเดีย เวียดนามและญี่ปุ่นยังมีปัจจัยบวกจากอัตราการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง และอยู่ในระดับสูงถึง 50% ของ GDP แต่ละประเทศ ซึ่งถือเป็นภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจที่ดี หากการค้าระหว่างประเทศชะลอตัวลงจากมาตรการกีดกันทางค้าที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น เวียดนาม มีจำนวนมากมายหลายกองทุน ดังนั้น จึงคัดกองทุนเด่นให้ลูกค้าได้เลือกลงทุนเพื่อเป็นการกระจายการลงทุนและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในปีนี้ นั่นคือ 1.กองทุนหุ้นอินเดีย แนะนำ TISCOINA-A 2.กองทุนหุ้นญี่ปุ่น แนะนำ KF-HJAPAND และ 3.กองทุนหุ้นเวียดนาม แนะนำ PRINCIPAL VNEQ-A โดยมีรายละเอียด ดังนี้
กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย แอคทีฟ อิควิตี้ (TISCOINA-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟตราสารทุนต่างประเทศ ที่มีนโยบายการลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศอินเดีย หรือบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจในประเทศอินเดีย หรือบริษัทที่มีรายได้หลักจากการประกอบกิจการในประเทศอินเดีย กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน
กองทุนนี้โดดเด่นตรงที่เป็นกองทุน Fund of Fund ทำให้ผู้จัดการกองทุน บลจ.ทิสโก้สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศได้อย่างหลากหลาย จึงมีความยืดหยุ่น และสามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ตามสถานการณ์ และช่วยกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้
โดยข้อมูลจาก บลจ.ทิสโก้ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 กองทุน TISCOINA-A กระจายการลงทุนใน 3 กองทุน คือ 1.Goldman Sachs India Equity Portfolio I Acc USD สัดส่วน 32.60% กองทุนนี้ลงทุนในหุ้นบริษัทที่ประกอบธุรกิจในอินเดีย 70-100 ตัว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก
2.FSSA Indian Subcontinent Fund สัดส่วน 32.26% ลงทุนในบริษัทประกอบธุรกิจอินเดีย ศรีลังกา ปากีสถาน และบังคลาเทศ เน้นลงทุนหุ้น 50 ตัว กระจายการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง และเล็กโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก และ 3.Nomura Funds Ireland-India Equity Fund สัดส่วน 31.99% ลงทุนในหุ้นอินเดียประมาณ 25-30 บริษัท จากทั้งหมด 240 บริษัท เน้นลงทุนหุ้นขนาดใหญ่
“นักวิเคราะห์ทาง Bloomberg ประเมินว่าปี 2568 เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโต 6.9% สูงเป็นอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก นอกจากนี้ การที่รัฐบาลออกนโยบายดึงดูดการลงทุน เช่น สิทธิประโยชน์ด้านภาษี กับบริษัทต่างชาติ อาจส่งผลให้กำไรบริษัทจดทะเบียนอินเดียเติบโตได้ถึง 15%” นางวรสินีกล่าว
กองทุนเปิดกรุงศรีเจแปนเฮดจ์ปันผล (KF-HJAPAND) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) กองทุนจะนำเงินไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ กองทุน JPMorgan Japan (Yen) Fund, Class (acc) – JPY (กองทุนหลัก) ลงทุนในหลักทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่นและหลักทรัพย์อื่นๆ ซึ่งมีผลตอบแทนเกี่ยวเนื่องกับภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่น กองทุนนี้โดดเด่นตรงที่กองทุนหลักใช้กลยุทธ์บริหารกองทุนเชิงรุกปรับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมลงทุนไปตามสถานการณ์ โดยใช้ประสบการณ์ที่มียาวนานกว่า 50ปี ร่วมกับทีมนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกกรรมประจำอยู่ที่ญี่ปุ่น
สำหรับหุ้นที่กองทุนหลักเข้าลงทุนนั้นผู้จัดการกองทุนจะเฟ้นหาหุ้นที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของญี่ปุ่น ทั้งโครงสร้างประชากร ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี กระแสการท่องเที่ยวญี่ปุ่น และความนิยมในแบรนด์สินค้าของญี่ปุ่น โดยข้อมูลจาก บลจ.กรุงศรี ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 กองทุนหลักมีสินทรัพย์ลงทุน 5 อันดับแรก คือ 1.Hitachi 2.Asics 3.Keyence 4.ITOCHU 5.Tokio Marine Holdings
“ปี 2568 ธนาคารทิสโก้ประเมินว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวจากเงินฝืดที่ยาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นผลจากรัฐบาลญี่ปุ่นใช้มาตรการลดภาษี สนับสนุนการขึ้นค่าจ้าง และให้เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้ต่ำ เพื่อบรรเทาค่าครองชีพและกระตุ้นการบริโภค และธนาคารทิสโก้คาดว่า GDP ญี่ปุ่นในปี 2568 จะขยายตัวได้ 1.1% จาก 0.3% ในปี 2567” นางวรสินีกล่าว
กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) กองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนามหรือมีธุรกิจหลักในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต บริหารจัดการโดย บลจ.พรินซิเพิลด้วยทีมผู้จัดการกองทุนหลักมีประสบการณ์ลงทุนกว่า 13 ปี บริหารหุ้นเวียดนามกว่า 6 ปี เป็นกองทุนหุ้นเวียดนามที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ผู้จัดการกองทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางที่มีสภาพคล่องสูงประมาณ 20-30 บริษัท
ประเมินปัจจัยมหภาคและอุตสาหกรรมแบบ Top-down เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม คู่กับการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up มีเกณฑ์คัดเลือกหุ้นที่มีลักษณะ FMV ครบ คือ F (Fundamental) ปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดที่ดี มีธรรมาภิบาลสูง M (Momentum) ราคาของหลักทรัพย์มีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่อง และมีสภาพคล่องมากเพียงพอ และ V (Valuation) มีมูลค่าที่เหมาะสมและสูงกว่าราคาปัจจุบัน กองทุนเน้นการสร้างผลตอบแทนระยะยาว และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหลักทรัพย์ที่นักลงทุนรายย่อยเก็งกำไรโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็ก
นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลังได้อย่างน่าสนใจโดยข้อมูลจาก Morningstar ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 กองทุน PRINCIPAL VNEQ มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 3 ปี 5 ปี และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 3.05% 22.30% 30.09% 0.12% 9.76% และ 5.04% ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันดัชนีชี้วัด (Benchmark) ของกองทุนคือ R TFVTTU Index (THB) มีผลตอบแทนย้อนหลังอยู่ที่ 8.01% -2.03% 8.76% 9.97% -6.33% 7.23% และ 5.75% ตามลำดับ
“แม้เวียดนามมีตัวเลขเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูง แต่ได้รับประโยชน์จาก การโยกย้ายฐานการผลิต ด้วยต้นทุนแรงงานต่ำและความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และปัจจุบันเวียดนามมี FTA ทั้งหมด 16 ฉบับ เช่น EVFTA CPTPP และ BTA ทำให้ลดผลกระทบจากการเก็บภาษีได้” นางวรสินีกล่าว
อย่างไรก็ตาม กองทุน TISCOINA-A และ PRINCIPAL VNEQ-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน กองทุน KF-HJAPAND ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ติดต่อสอบถามรายละเอียด หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 0-2633-6000 กด 2 กด 4