แตกตื่นทั้งเมือง สาวขอนแก่นโพสต์โจรขโมยเด็กอาละวาด เด็กหายแล้ว 2 ราย ด้านตร.ตรวจสอบพบเป็นเฟคนิวส์
เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 21ม.ค.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโลกโซเชียลมีเดียและเพจต่างๆทั่วทั้ง จ.ขอนแก่น ได้เผยแพร่ภาพจากผู้ใช้เฟซบุ๊กเป็นหญิงรายหนึ่ง ซึ่งได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยเปิดเป็นสาธารณะ พร้อมข้อความระบุว่า “ข่าวที่ว่าลูกสาว น้องไอริณเกือบจะโดนแก๊งลักขโมยเด็กมันคือเรื่องจริงนะคะ วันนี้ท่าพระมีเด็ก2-3 ขวบ หาย 2 คน ระวังกันด้วยนะคะ ทะเบียน 3590 รถเก๋ง”
ในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังผู้โพสต์ไม่สะดวกให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว แต่ได้ให้ข้อมูลและภาพจากกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุการณ์ที่ลูกสาววัย 4 ขวบ เกือบถูกชายแปลกหน้าพาตัวลูกสาวไป โดยกล้องวงจรปิดจะเห็นลูกสาวของผู้โพสต์กำลังนั่งเล่นกองทรายอยู่ภายในตลาดสดแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น อยู่ๆก็มีชายแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนเดินวนรอบตัวลูกสาว สักพักได้เข้าไปจับแขน แต่โชคดีที่มีแม่ค้าในตลาด ซึ่งรู้จักกับผู้โพสต์และเคยเล่นกับลูกสาวเรียกชื่อน้อง ทำให้ชายแปลกหน้าดังกล่าวเดินเลี่ยงออกไปทันที จึงได้นำเรื่องราวมาโพสต์เพื่อเตือนภัยเพราะเจอกับตัว หลังจากข้อมูลการลักพาตัวเด็กนั้นได้ข้อมูลมาจากที่ทางผู้ดูแลตลาดได้แจ้งประชาสัมพันธ์เสียงตามสายให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดได้ทราบและระมัดระวังตัว
พร้อมกันนี้ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง สภ.ท่าพระ เพื่อทำการตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น โดยพบกับ พ.ต.อ.ภูมี อีคะละ ผกก.สภ.ท่าพระ และชุดสืบสวน สภ.ท่าพระได้ทำการโทรศัพท์ตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงถึงต้นเรื่องที่มาที่ไปให้ผู้สื่อข่าวได้รับทราบไปพร้อมกัน โดยได้ทำการตรวจสอบไปยังผู้โพสต์ให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ว่า เรื่องดังกล่าวนั้นทางตลาดได้มีการประกาศเสียงตามสายในตลาดเมื่อวานที่ผ่านมา ว่ามีเด็กหายในพื้นที่ท่าพระ โดยเป็นตำรวจท่าพระแจ้งเตือนภัยมาให้ระมัดระวัง และประจวบกับที่ได้เจอเหตุการณ์ของตัวเองในวันดังกล่าวด้วย ขณะนั้นลูกสาว 4 ขวบ นั่งเล่นกองทรายอยู่แถวลานจอดรถในตลาดคนเดียว มีคนในตลาดที่รู้จักกันกับตัวเองและเคยเล่นกับลูกสาวมาวนเวียนอยู่รอบๆตัวลูกสาว และเหมือนจะจับแขนน้องแต่เป็นจังหวะที่แม่ค้าที่รู้จักเดินไปเข้าห้องน้ำมาเห็นพอดี จึงเรียกชื่อลูกสาวทำให้ชายดังกล่าวเดินหนีไป
ผกก.สภ.ท่าพระจึงได้สอบถามว่า ได้ข้อมูลต่อกับทางผู้ดูแลตลาดที่ประกาศเสียงตามสายประชาสัมพันธ์เตือนเรื่องดังกล่าว ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ได้ข้อมูลมาอีกทอดหนึ่งจากพ่อค้าปลาทูนึ่ง ว่าตำรวจ สภ.ท่าพระ ที่รู้จักกันกับพ่อค้าปลาทูนึ่งให้ข้อมูลมาว่า มีการลักพาตัวเด็กไปแล้ว 2 คน เป็นเด็กชายและเด็กหญิงอายุ 2 ขวบ และให้ข้อมูลว่ารถที่คนร้ายขับมาเป็นรถเก๋งพร้อมกับระบุทะเบียนรถมาให้ด้วย จึงเชื่อว่าเป็นข้อมูลจริงจึงได้นำมาประกาศประชาสัมพันธ์เพื่อเตือนภัย
หลังจากได้ข้อมูลกับทางผู้ดูแลตลาดแล้ว ทางผกก.สภ.ท่าพระก็ได้ตรวจสอบต่อไปยัง พ่อค้าปลาทูนึ่งต้นเรื่องที่นำข้อมูลมาให้กับทางผู้ดูแลตลาดประชาสัมพันธ์ โดยให้ข้อมูลกับ ผกก.สภ.ท่าพระว่า ตัวเองได้รับสายจากชายคนหนึ่งซึ่งไม่รู้จักกันโทรศัพท์มาบอกว่ามีการลักพาตัวเด็กอยู่ในพื้นที่ สภ.ท่าพระ ให้ระมัดระวังบุตรหลาน เพราะมีเด็กถูกลักพาตัวไป 2 คนแล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ตนเองจึงบอกต่อให้กับทางผู้ดูแลตลาดทราบเพื่อเป็นการช่วยกันระมัดระวัง กระทั่งมีการประชาสัมพันธ์เตือนภัยต่อๆกันออกไปเป็นวงกว้าง และพอโทรกลับหาชายลึกลับที่ให้ข้อมูลมาไม่สามารถติดต่อได้
พ.ต.อ.ภูมี อีคะละ ผกก.สภ.ท่าพระ กล่าวว่า จากกาาตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว ได้แนะนำทุกคนให้ระมัดระวังเรื่องการแชร์ข้อความดังกล่าวออกไป เพราะเป็นข้อความเท็จ หรือเฟคนิวส์ ควรจะต้องมีการตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่กับทางเจ้าหน้าที่ก่อน ทั้งตำรวจ และฝ่ายปกครอง หากเป็นเรื่องจริงจึงค่อยช่วยกันโพสต์เตือนภัยหรือประชาสัมพันธ์ออกไป เพราะจะเกิดผลกระทบเป็นวงกว้างหากไม่ใช่เรื่องจริงทำให้คนแตกตื่น พร้อมทั้งให้ผู้โพสต์ทำการลบโพสต์ออกไป และโพสต์แก้ข่าวให้ตรงกับข้อเท็จจริงด้วยเพื่อความสบายใจของประชาชนที่ได้รับทราบข่าวดังกล่าว
"ได้ทำการตรวจสอบกับทางพนักงานสอบสวนที่เข้าเวรตลอดทั้งวันซึ่งมีทั้งหมด 3 คน ทราบว่าไม่มีใครมาแจ้งความกรณีลักพาตัวเด็ก หรือมีเด็กหายแต่อย่างใด พร้อมทั้งตรวจสอบไปยังไลน์กลุ่มที่มีสมาชิกทั้งตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่นทั้ง 3 ตำบลที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สภ.ท่าพระ ทั้ง ต.ท่าพระ ต.ดอนช้าง และ ต.ดอนหัน ต่างยืนยันว่าไม่มีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามหากประชาชนได้ข้อมูลข่าวสารมาขอให้อย่าเพิ่งแชร์หรือโพสต์ออกไปหากยังไม่มีการตรวจสอบ หรือมีการยืนยันชัดเจน ซึ่งหากประชาชนได้ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้มาสามารถแจ้งมาทาง ผกก.สภ.ท่าพระได้ ที่หมายเลข โทรศัพท์ 0817259982 ตลอด 24 ชม. หรือ สถานีตำรวจในท้องที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่ควรแชร์ออกไปเพราะเป็นเฟคนิวส์อาจจะทำให้เกิดการตื่นตระหนกตกใจเหมือนเช่นกรณีที่เกิดขึ้น"