สุรินทร์ แม่ร้อง ลูกชายถูกรถยนต์ครูถอยทับร่าง ขณะที่นอนในเต็นท์กลางลานสถานที่ท่องเที่ยว ผ่านมากว่า 20 วันไม่เคยเหลียวแลมาสอบถามอาการและรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น แม่กังวลคู่กรณีวางตัวดูเหมือนจะเป็นผู้ที่กว้างขวางในพื้นที่ ขนาดตำรวจที่มาตรวจที่เกิดเหตุยังต้องยกมือไหว้ แถมมีท้าอยากได้ให้ไปฟ้องศาลเอา
วันที่ 24 ม.ค. 68 นางสาวเสาวภา อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50/1หมู่ 1 ตำบลพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ได้พาลูกชายคือนายณัฐชนน อายุ 18 ปี และเพื่อนรุ่นพี่ พร้อมคลิปหลักฐานคืนเกิดเหตุมาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน จ.สุรินทร์ กรณีลูกชายซึ่งเรียนอยู่ปี 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ได้ไปเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนรุ่นพี่ปี 2 สถาบันเดียว เพื่อไปกางเต็นท์นอนรับลมหนาว เมื่อวันที่ 4-5 ม.ค. 68 ที่ลานกางเต็นท์แห่งหนึ่ง ริมห้วยศาลา ต.โคกตาล อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ โดยไปกันประมาณ 9 คน ก่อนลูกชายขอตัวเข้านอนในเต็นท์ก่อน และขณะที่นอนอยู่ในเต็นท์ช่วงเวลาประมาณเกือบตีหนึ่ง ลูกชายได้ถูกรถยนต์ไหลถอยมาทับเต็นท์ที่นอนอยู่(คนขับอยู่ในรถ)จนได้รับบาดเจ็บทั่วร่างกายทั้งขมับขวา ใบหน้า ไหล่ขวา หัวเข่าและหน้าอก ก่อนถูกนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภูสิงห์ แต่คู่กรณีไม่เคยเหลียวแลมาสอบถามอาการและรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น และท้าว่าถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา และอีกอย่างขณะที่เกิดเหตุทางคู่กรณีวางตัวดูเหมือนจะเป็นผู้ที่กว้างขวางในพื้นที่ด้วย ขนาดตำรวจที่มาตรวจที่เกิดเหตุยังต้องยกมือไหว้ และไม่รับแจ้งความในขณะนั้น และแอลกอฮอล์ในเลือดวัดได้สูงถึง 227 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จนเวลาล่วงเลยมากว่า 20 วัน เรื่องก็ยังเงียบ จึงร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนให้ช่วยเหลือด้วย
นางสาวเสาวภา บอกอีกว่า ตนเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะว่าทางคู่กรณี ตั้งแต่เกิดเหตุมาจนถึงทุกวันนี้ไม่เคยโทรมาสอบถามน้องเลยว่าอาการเป็นอย่างไร รู้สึกกังวลเพราะว่าเขาเป็นถึงครูอาจารย์ เราก็แค่ชาวบ้านธรรมดาหาเช้ากินค่ำเท่านั้น กลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
ขณะที่นายวิทิต เพื่อนรุ่นพี่ที่ไปด้วยกัน ได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ว่า ที่เกิดเหตุเป็นลานกางเต็นท์แห่งหนึ่งที่ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ โดยได้นัดกันพากันไปเที่ยวปกติ ไปกันวันที่ 4 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ก็ไปกางเต็นท์กันปกติ กระทั่งช่วงเวลาตีหนึ่ง ของวันที่ 5 มกราคม ก็มีเหตุรถกระบะ 4 ประตู สีขาวไหลลงมาจากที่จอดรถจนมาทับน้องที่นอนในเต็นท์ น้องพยายามออกมาจากเต้นท์แต่ออกมาไม่ทัน รถยนต์คันดังกล่าวเลยทับน้องแล้วลากมาจนท้ายรถไปชนกับต้นไม้และหยุด ซึ่งถ้าไม่มีต้นไม้กั้นไว้น้องคงจะตกลงไปในน้ำพร้อมรถ ดีไม่ดีอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดีที่มีต้นไม้กั้นไว้ ขณะนั้นน้องยังอยู่ที่ใต้ท้องรถ พอน้องออกมาได้ตนเลยพาน้องไปส่งที่โรงพยาบาล โดยน้องได้รับบาดเจ็บที่บริเวณศีรษะ ใบหน้าและร่างกายอีกหลายจุด และมีคนที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นกันทั้งหมด ตนคิดว่าน้องจะไม่รอดแล้ว พอตนพาน้องไปโรงพยาบาล ในตอนเกิดเหตุครูกับผู้หญิงก็อยู่ในรถคันดังกล่าว พี่ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็โทรแจ้งตำรวจมา แต่พอตำรวจมาถึงก็สวัสดีฝ่ายเจ้าของรถที่เกิดเหตุก่อนเลย และก่อนที่ตำรวจจะมาถึงพี่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุบอกว่า “เมื่อครู(เจ้าของรถ) ออกมาจากรถก็ถามหาตำรวจก่อนเลย และให้เรียกตำรวจมาหากอยากได้อะไรก็ไปฟ้องเอา พูดแบบไม่เกรงกลัวอะไรเลย” แม้แต่เมียเขาจริงๆไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุ ตนได้พูดคุยด้วยทางโทรศัพท์ เขาก็ยังบอกเลยว่าเขาเป็นคนแบบนี้ เวลาเมาแล้วชอบพูดกร่างไม่ว่าจะกับใคร แล้วเมื่อวานก็มีอีกคนที่เขาได้แซทมาหลังจากตนได้โพตส์เหตุการณ์ลงในเพจ บอกว่านิสัยเขาจะเป็นแบบนี้ และหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็พร้อมที่จะมาเป็นพยานให้น้อง เพราะเป็นห่วงน้องที่บาดเจ็บ
นายวิทิต ยังเล่าต่อว่า หลังจากนั้นตำรวจมาก็พาไปตรวจวัดแอลกอฮอล์ที่โรงพยาบาล ซึ่งตนยืนอยู่หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจร้อยเวร ในตอนแรกคุณหมอก็พูดว่าให้ออกใบอะไรเลยไหม ตำรวจก็บอกว่ายังไม่ต้องออก ทั้งที่เป่าแล้วปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง 227 มิลิกรัม จากนั้นก็พาครู ไปยังโรงพักภูสิงห์ต่อเพื่อทำการสอบปากคำ ซึ่งมีน้องที่ได้รับบาดเจ็บและมีผู้หญิงคนหนึ่งที่มาด้วยกับคู่กรณี เสร็จแล้วก็ให้พวกตนกับน้องกลับ ส่วนครู ตำรวจให้อยู่ต่อ บอกว่าจะสอบปากคำเพิ่ม ทำไมไม่สอบปากคำเพิ่มทั้งหมดทำไมให้พวกผมกลับก่อน พอมาตอนเช้า พวกตนไปโรงพักอีกครั้งก็เห็นครูนอนอยู่ที่นั้น น้องที่อยู่ที่โรงพักเห็นคลุมผ้าเดินออกมาจากด้านหลังโรงพัก
ในส่วนคดีนั้นในตอนแรกช่วงเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจไปบอกกับทีมงานตนที่อยู่ในที่เกิดเหตุว่า คดีนี้รถที่เกิดเหตุอยู่ข้างล่าง ไม่ได้อยู่บนถนนมันไม่สามารถที่จะเป็นคดีอาญาได้ เขาก็บอกอย่างนี้มันอาจเป็นได้แค่คดีเพ่งนะ มันต้องตั้งทนายแล้วไปฟ้องเอา เขาพูดกับทีมงานตนแบบนี้ ซึ่งตอนนั้นตนอยู่ที่โรงพยาบาล พอไปที่โรงพยาบาลตนกับน้องชายได้ยืนคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังพูดเหมือนเดิม ตอนที่เขาพูดตนก็ไม่รู้เรื่องกฎหมาย เขาเห็นว่าพวกผมเป็นเด็กเขาจะพูดอะไรก็พูดไป ตนจึงได้โทรไปหาญาติและติดต่อทางทนายเข้ามาช่วยให้ แต่สุดท้ายเขาก็พูดกับทนายว่าเขาไม่ได้พูด จนสุดท้ายจึงรับเป็นคดีอาญา
ทั้งนี้นายวิทิต ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนเกิดเหตุพวกตนเห็นรถยนต์คันดังกล่าวจอดอยู่ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว พอตกดึกก็มีเสียงการเปิดปิดประตูและเสียงสัญญานเตือนร้องดังขึ้นหลายครั้ง จนกระทั่งเกิดเหตุรถไหลลงมาจากที่จอดรถ ทับเต็นท์ที่น้องนอนอยู่และลากไปจนท้ายไปชนกับต้นไม้และหยุดก่อนที่จะไหลลงน้ำ โดยขณะเกิดเหตุก็มีครู และผู้หญิงนั่งอยู่บนรถคันดังกล่าวด้วย”
จากนั้นมาตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ทางด้านครูคู่กรณีก็ยังไม่มีการติดต่อมาเลย ไม่เคยถามไถ่อาการน้องเป็นอย่างไร ไม่เคยมาเยี่ยมเลย เงียบหายไปเลย แต่คิดว่าเขาคงจะเป็นผู้กว้างขวาง ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่พูดกร่างขนาดนั้นในที่เกิดเหตุ นี้คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่มาร้องเรียนสื่อก็เพราะกลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ล่าสุดได้มีการเปลี่ยนร้อยเวรที่ดำเนินการเรื่องนี้แล้ว จากร้อยตำรวจเอก มาเป็นทางด้านพันตำรวจโทและรับเป็นคดีอาญาแล้ว แต่ก็ยังกังวลอยู่กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะเรื่องยังเงียบและคู่กรณีก็เป็นข้าราชการด้วย
ด้านนายณัฐชนน เล่าเหตุการณ์ขณะโดนรถไหลทับ ว่า ตอนนั้นตนนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ในเต็นท์ ได้ยินเสียงพี่เรียกจึงรีบออกมาจากเต็นท์แต่สามารถออกจากได้แค่ครึ่งตัวรถก็มาทับเลย ก่อนไหลติดท้องรถไปด้วยตอนนั้นตนตกใจมาก และไม่รู้ว่าสิ่งมาทับมันคืออะไร รู้สึกปวดแสบที่ใบหน้าและช่วงลำตัว ตอนนี้ก็ยังมีอาการปวดหัวอยู่บ้างและช่วงแขนช่วงก็ยังปวดอยู่
ทั้งนี้ผู้ที่มาพักก้างเต็นท์ที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นหลายคนพร้อมที่จะเป็นพยานให้กับน้องผู้บาดเจ็บ และยังมีหลายคนให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของครูคนดังกล่าวอีกด้วย