หนุ่มกู้ภัยเกือบบ้านแตก โดนเมียด่ายับเยิน หลังเจอไลน์แชทคุยกับสาวปริศนา ถึงขั้นต้องขึ้นโรงพักแจ้งความ มาโป๊ะแตกตอนหลังเมียต้องรีบขอโทษ
วันที่ 24 ก.พ.68 นายศรราม สุรภาพ อายุ 49 ปี เจ้าหน้าที่อาสาสมัครหน่วยกู้ภัยมูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมภรรยา เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.จตุพงษ์ แป้นเขียว สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ พร้อมเอกสารหลักฐาน หลังมีบุคคลไม่ทราบชื่อ ซึ่งคาดว่าเป็นมิจฉาชีพปลอมไลน์ของตัวเองแชททักหาหญิงบุคคลอื่นที่มิใช่ภรรยาของตัวเอง แล้วพูดคุยเชิงชู้สาว
หลังจากนั้นถูกสาวคนดังกล่าวแคปภาพหน้าจอแล้วเอาไปโพสต์ลงสตอรี่ในเฟซบุ๊กเชิงต่อว่าด่าทอในทางเสียหาย โดยข้อความที่แคปในหน้าจอระบุว่า “นิสัย…พอๆ กับหน้า” จนมีเพื่อนในเฟซบุ๊กพบเห็นจึงแคปหน้าจอส่งมาให้เจ้าตัวดู ซึ่งทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดและได้รับความเสียหาย จึงเดินทางเข้ามาแจ้งความเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการเอาผิดทางกฎหมาย
นายศรราม เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุตนไม่ทราบเรื่องมาก่อน เนื่องจากตนทำงานเข้าเวรเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยอยู่ที่ประจวบฯ และเมื่อออกจากเวรปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว ก็กลับบ้านมาเลี้ยงลูกอ่อน ซึ่งมีอายุได้เพียง 3 เดือน ไม่ได้ออกไปไหน ซึ่งขณะนั้นภรรยาก็อยู่ด้วย และได้มีเพื่อนในเฟซบุ๊กพบเห็นสตอรี่ที่เป็นรูปโปรไฟล์ถูกแชร์ในเชิงเสียหาย จึงได้แคปหน้าจอส่งมาให้ดู และภรรยาของตนเมื่อทราบเรื่องก็รู้สึกเครียดเสียใจต่อว่าด่าทอตน ว่าแอบนอกใจไปคบคุยกับสาวอื่น
ซึ่งตนได้ปฏิเสธกับภรรยาว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย หลังจากนั้นภรรยาจึงได้ทักไปหาเฟซของผู้หญิงรายหนึ่งที่นำภาพของตนไปโพสต์ด่าในสตอรี่ในเชิงเสียหายเพื่อสอบถามรายละเอียด จึงทราบว่าเป็นไลน์ปลอมที่สร้างขึ้นมาใหม่ที่ไม่ใช่ของตน จึงได้รวบรวมภาพทั้งหมดมาเป็นเอกสารหลักฐาน แล้วมาแจ้งความเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับตน และไลน์ที่ถูกปลอมขึ้นมาใหม่ไม่ใช่ของตน หากไลน์ดังกล่าวไปสร้างความเสียหายหรือไปหลอกลวงใคร ตนไม่ขอรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น และต้องการแจ้งความเอาผิดให้ถูกดำเนินคดีจะได้ไม่ไปก่อเหตุกับใครอีก
ด้าน นายธัญนพ ศรีสัมพุทธ ทนายความประจำโรงพัก สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากกรณีเหตุดังกล่าวทำให้เสื่อมเสียได้รับความเสียหายทางด้านชื่อเสียง มีความผิดในข้อหาหมิ่นประมาท และ พรบ.คอมพิวเตอร์ หากผู้เสียหายถ้ามาแจ้งลงบันทึกประจำวันอย่างเดียวก็จะเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจปกป้องสิทธิ์ของตัวเองเท่านั้น แต่ถ้าจะให้ตำรวจดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายก็จะต้องแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเท่านั้น ถึงจะดำเนินการสอบสวนเอาผิดกับผู้กระทำผิดตามกฎหมายได้