เลือกตั้งเยอรมัน 2025 พลังเงียบที่สุดขั้ว
ผลการเลือกตั้งเยอรมนีที่เพิ่งผ่านพ้นไป แสดงให้เห็น “พลังเงียบ” ที่ออกจากบ้านมาเลือกพรรคขวาจัด และอนุรักษ์นิยม ทำให้ฝ่ายนิยมซ้าย รวมพลังไปเลือกพรรคฝ่ายซ้าย ผลการเลือกตั้งจึงออกมาอย่างแบ่งขั้ว เอื้อต่อชัยชนะของพรรคกลางขวา “ซีดียู//ซีเอสยู” CDU : Christian Democratic Union of Germany และพรรคแนวร่วม CSU : Christian Social Union in Bavaria )ที่คว้า 208 ที่นั่ง การเติบโตของพรรคขวาจัด “เอเอฟดี (AFD : Alternative for Germany)ที่คว้า 152 ที่นั่ง การฟื้นคืนชีพในโค้งสุดท้ายของพรรคฝ่ายซ้าย (The Left) ที่คว้า 64 ที่นั่ง
สวนทางฝันร้ายของ พรรคซ้าย-กลาง “เอสพีดี” (SPD :The Social Democratic Party of Germany) เหลือ 120 ที่นั่ง พรรคกรีน (Germany’s Green party)ที่คว้า 85 ที่นั่ง การหมดสภาพของพรรคซ้ายจัดประชานิยม “บีเอสดับบริว” ( BSW :Sahra Wagenknecht Alliance) และพรรคเสรีนิยม (FDP : The Free Democratic Party )ที่ต่างวืด ไม่ได้ที่นั่งเลย
ชาวเยอรมันกาบัตรอย่างไร
ใครที่ติดตามผลการเลือกตั้งเยอรมันจะสังเกตเห็นว่า จะมีการรายงาน 2 ตัวเลข คือ ตัวเลขจำนวนที่นั่งสส. และ “เปอร์เซนต์”ที่ได้รับเลือก ซึ่งตัวเลขที่สองจะเป็นตัวกำหนด ตัวเลขที่นั่งสส.ทั้งหมด
เมื่อชาวเยอรมันไปยังหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งตั้งอยู่ในโรงเรียนและอาคารสาธารณะอื่นๆ พวกเขามีสิทธิ์ลงคะแนนสองครั้งครั้งแรกสำหรับผู้สมัครที่จะเป็นตัวแทนเขตเลือกตั้ง และครั้งที่สองสำหรับรายชื่อผู้สมัครของพรรคในระดับรัฐ
การลงคะแนนครั้งแรก สำหรับผู้สมัครโดยตรงที่ลงแข่งขันในเขตเลือกตั้งนั้นๆ จะกำหนดองค์ประกอบครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละเขตมีตัวแทน การลงคะแนนครั้งที่สอง จะกำหนดความเข้มแข็งของพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร (บุนเดสทาก)
ภายใต้กฎหมายการเลือกตั้งของเยอรมนี พรรคการเมืองต้องได้รับคะแนนเสียงพรรค (คะแนนเสียงที่สอง) อย่างน้อย 5% จึงจะได้ที่นั่งในสภา บทบัญญัตินี้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1953 โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคเล็กๆ เข้าสู่รัฐสภาและทำให้เกิดความแตกแยก ซึ่งเคยเป็นปัญหาในสมัยสาธารณรัฐไวมาร์ ทำให้ยากที่จะสร้างเสียงข้างมากที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับพรรคที่ชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งอย่างน้อย 3 เขต: การชนะ 3 ที่นั่งแบบเขตจะทำให้พรรคนั้นได้รับการยกเว้นเกณฑ์ 5% ตัวอย่างเช่น ในปี 2021 พรรคฝ่ายซ้ายได้คะแนนเสียงที่สองเพียง 4.9% เนื่องจากผู้สมัครของพวกเขาชนะใน 3 เขตเลือกตั้ง
ข้อยกเว้นที่สองคือสำหรับผู้สมัครที่เป็นตัวแทนของชนกลุ่มน้อยที่ได้รับการยอมรับในเยอรมนี เช่น ชาวเดนมาร์กในชเลสวิก-โฮลสไตน์ หรือชาวซอร์บในแซกโซนี ต้องใช้คะแนนเสียงประมาณ 35,000 ถึง 38,000 คะแนนเพื่อชนะในเขตเลือกตั้ง ซึ่งเป็นจำนวนคะแนนที่ผู้แทนพรรคชนกลุ่มน้อยต้องได้รับเพื่อให้ได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเยอรมัน
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็น พรรคบีเอสดับบริว ที่ได้คะแนนถึง 2.4 ล้านเสียง และ พรรคเอฟดีพี ที่ได้คะแนน 2.1 ล้านเสียง ไม่ได้ที่นั่งในสภาเลย เพราะในการโหวตรอบที่สอง ได้สัดส่วนเพียง 4.97 % และ 4.33 % ไม่ผ่านเกณฑ์ 5 % ในขณะที่พรรคชื่อไม่คุ้นอย่าง เอสเอสดับบริว (สมาคมผู้มีสิทธิเลือกตั้งชเลสวิกใต้) ที่ได้คะแนนเพียง 76,126 เสียงกลับได้ 1 ที่นั่ง เนื่องจาก เป็นตัวแทนของชนกลุ่มน้อยชาวเดนมาร์กและฟรีเซียน
การย้ายฐานเสียง: ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเปลี่ยนไปเลือกพรรคอื่นอย่างไร?
การเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงการสนับสนุนพรรคการเมืองของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการย้ายออกจากพรรค เอสพีดี ฝ่ายกลาง-ซ้าย ไปยังพรรคอนุรักษ์นิยม ซีดียู/ซีเอสยู ซึ่งดึงคะแนนเสียงประมาณ 2 ล้านคะแนนจากพรรคสังคมประชาธิปไตย (เอสพีดี) ซีดียู/ซีเอสยู ยังได้ 1 ล้านเสียงจากพรรคเสรีนิยม และ 900,000 เสียงจากคนที่ไม่ได้ออกมาโหวตในการเลือกตั้งครั้งก่อน
พรรคฝ่ายซ้ายได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานเสียงทั้งจากพรรค เอสพีดี และพรรคกรีน โดยได้รับคะแนนเพิ่ม 560,000 และ 700,000 คะแนนตามลำดับ
พรรคขวาจัด “เอเอฟดี” เติบโตเท่าตัวรอบนี้ด้วย 2 ล้านเสียงจากคนที่ไม่ได้ออกมาโหวตในการเลือกตั้งครั้งก่อน 1 ล้านเสียง จากพรรคอนุรักษ์นิยม ซีดียู/ซีเอสยู 890,000 เสียงจากพรรคเสรีนิยม ได้แม้กระทั่งจาก จากพรรคซ้าย-กลาง “เอสพีดี”ถึง720,000 เสียง คือเป็นการสวิงจาก ซ้าย-กลาง มาขวาจัดก็เกิดขึ้นแล้ว
วัยรุ่นเลือกสุดขั้ว
คนหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 24 ปี มีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคสุดขั้วมากขึ้น โดยลงคะแนนให้กับพรรคเอเอฟดี ฝ่ายขวาจัด21 %และพรรคฝ่ายซ้ายสัดส่วน 25 % พรรคดั้งเดิมอย่าง พรรคเอสพีดี (12 %) และ พรรคซีดียู//ซีเอสยู (13 %) ได้รับคะแนนเสียงต่ำที่สุดจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่อายุน้อย
พรรคกรีน ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มคนหนุ่มสาวมาอย่างยาวนาน กลับได้รับคะแนนเสียงในเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำที่สุดในกลุ่มอายุนี้ คือสัดส่วนเพียง 11 % ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคเอสพีดี และ พรรคซีดียู/ซีเอสยู มากกว่า
ผู้หญิงเลือกซ้าย ผู้ชายเลือกขวา
ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะลงคะแนนเสียงแบบอนุรักษ์นิยมมากกว่าผู้หญิง โดยลงคะแนนให้กับพรรคซีดียู//ซีเอสยู และพรรคเอเอฟดีในสัดส่วนที่มากกว่า ในขณะที่ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะลงคะแนนให้กับพรรคเอสพีดี พรรคกรีน และพรรคฝ่ายซ้ายมากกว่า โดยเมื่อนำพรรคแต่ละปีกมารวมกันแล้ว ผู้ชายจะเลือกพรรคปีกขวา (พรรคซีดียู//ซีเอสยู +พรรคเอเอฟดี) ในสัดส่วน 45 % เลือกปีกซ้าย (พรรคเอสพีดี +พรรคกรีน+พรรคฝ่ายซ้าย+บีเอสดับบริว) 37 % ในขณะที่ผู้หญิง สัดส่วนจะเป็น 44 : 47
ความแตกต่างของคะแนนเสียงตามเพศมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นในกรณีของการลงคะแนนให้กับพรรคเอเอฟดีช่องว่างระหว่างเพศ อยู่ที่ 7% โดยผู้ชายเลือกในสัดส่วน 24 % ผู้หญิงเลือก 17 % โดยในขณะที่ความแตกต่างระหว่างเพศสำหรับพรรคอื่นๆ อยู่ที่เพียง 2-3% เท่านั้น
ยิ่งเรียนสูง ยิ่งเลือกซ้าย
ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่วุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีมีแนวโน้มที่จะลงคะแนนเสียงแบบอนุรักษ์นิยมมากกว่า โดยพรรคซีดียู//ซีเอสยู และพรรคเอเอฟดี เป็นพรรคที่พวกเขาชื่นชอบ ตามมาด้วยพรรคเอสพีดี และมีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคเอเอฟดีมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาสูงกว่าถึงสองเท่า ในขณะที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวเยอรมันที่มีวุฒิการศึกษาสูงกว่ามีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคกรีนและพรรคฝ่ายซ้ายมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับพื้นฐานมากกว่าสองเท่า
ทั้งหมดนี้คือ ที่มาของผลการเลือกตั้งครั้งสำคัญซึ่งจะกำหนดบทบาทของเยอรมันบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่ทวีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ