ดุลยภาพดุลยพินิจ : สังคมผู้สูงอายุ คนอายุยืนขึ้น แล้วไง?…
สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ February 28, 2025 01:41 PM

ดุลยภาพดุลยพินิจ : สังคมผู้สูงอายุ คนอายุยืนขึ้น แล้วไง?…

ประเทศไทยเข้าสู่สภาวะสังคมผู้สูงอายุมา 20 ปีแล้วตั้งแต่ปี 2548 โดยตอนนั้นมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 6.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากร 62 ล้านคน มาบัดนี้จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 14 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากร 70 ล้านคน ซึ่งสาเหตุสำคัญของการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุ คือ อายุยืนขึ้นด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์และด้านสาธารณสุข

อายุขัยเฉลี่ยคนไทยเพิ่มขึ้นจาก 57.3 ปี ในปี 2505 เป็น 67.3 ปี ในปี 2525 เป็น 72.8 ปี ในปี 2545 และ 77 ปี ในปี 2565 และ 78.1 ปี ในปี 2568 ทั้งนี้ ตัวเลขอายุขัยเฉลี่ยจะค่อนข้างต่ำเพราะเป็นการคำนวณทางประชากรศาสตร์ที่อาศัยตารางชีพ (และสถิติสุขภาพ รวมถึงข้อมูลอัตราการเสียชีวิตและสำมะโนประชากร) จึงไม่ค่อยทันสมัยและไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลาย ตัวเลขที่นำมาใช้ในบทความนี้เอามาจากเว็บไซต์ macrotrends (https://www.macrotrends.net/global-metrics/countries/tha/thailand/life-expectancy)

ที่จริงแล้ว มีผู้สูงอายุที่อายุสูงกว่าอายุขัยเฉลี่ยอีกจำนวนไม่น้อย ในปี 2566 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่อายุเกินอายุขัยเฉลี่ยที่มีอายุตั้งแต่ 80-100 ปีขึ้นไปถึง 1.6 ล้านคน เป็นชาย 6.1 แสนคน และหญิง 9.4 แสนคน โดยเป็นผู้ที่อายุเกิน 100 ปี (เรียกให้ยากว่า ศตวรรษิกชน (ศะ ตะ วะ ษิก กะ ชน – Centenarian) 26,500 คน เป็นชาย 12,700 คน และหญิง 13,800 คน (ตารางที่ 1)

(*ศาสตราจารย์ปราโมทย์ (2559) เคยให้ข้อสังเกตว่าตัวเลขทะเบียนราษฎร์อาจเกินจริงไปบ้างเนื่องจากผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งไม่พบตัวตนตามที่อยู่ในทะเบียนและอีกจำนวนหนึ่งปีเกิดที่บันทึกไว้ในทะเบียนไม่ถูกต้อง)

ในระดับโลก กองประชากร องค์การสหประชาชาติ เคยคำนวณไว้ว่าแนวโน้มของคนอายุยืนถึง 100 ปีจะเพิ่มสูงขึ้นจาก 2.3 หมื่นคนในปี 2493 เป็น 1.1 แสนคนในปี 2533 และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นประมาณ 9.4 แสนคนในปี 2567 คือเมื่อปีที่แล้วนี้ โดยประเทศที่มีศตวรรษิกชนจำนวนมากมีตัวอย่าง เช่น จีน 1.2 แสนคน (2567, สำมะโนประชากรจีน) สหรัฐ 1 แสนคน (2567, US Census Bureau) ญี่ปุ่น 9.5 หมื่นคน (2567, MHLW) แต่ตัวเลขประมาณการเหล่านี้ก็อาจมีการคำนวณเกินจริงบ้างเนื่องจากการเก็บข้อมูลไม่เรียบร้อย และการปั้นตัวเลขเพื่อขอรับสวัสดิการและบำเหน็จบำนาญ แต่ตัวเลขคนอายุยืนโดยทั่วไปก็มีแนวโน้มสูงขึ้น

ที่น่าเป็นห่วงคือ ศาสตราจารย์เจเน็ต ลอร์ด (2565) ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาของเซลล์จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ในอังกฤษ กล่าวว่า “การมีอายุยืนไม่ได้หมายความว่าจะมีชีวิตที่ดี”

เธออธิบายว่า โดยเฉลี่ยชายชรามักใช้ชีวิตในช่วง 16 ปีสุดท้ายกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตั้งแต่โรคเบาหวานไปจนถึงภาวะสมองเสื่อม ขณะที่หญิงชราจะใช้เวลา 19 ปี กับโรคภัยต่างๆ (Duarte, 2022)

ในอีกมุมหนึ่ง ในปี 2566 ฟอรั่มเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF 2023 June 26) ได้แสดงความเป็นห่วงว่าการที่คนอายุยืนขึ้นนี้กำลังเป็นปัญหาระดับโลกเพราะคนที่อายุยืนถึงร้อยปีนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ และพบว่า การที่อายุเกษียณเพิ่มขึ้นทำให้คนเกษียณต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงวิถีดำรงชีวิตหลายขั้นตอน (Multistage life) ในบั้นปลายของชีวิต จากการดำรงชีวิต 3 ขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วย เรียน ทำงาน และเกษียณ เป็นหลายขั้นตอน โดยในช่วงหลังของชีวิตที่อายุยืนขึ้นต้องเพิ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต การเว้นวรรคการประกอบอาชีพ (พัก) และการประกอบอาชีพใหม่

สิ่งที่ WEF ไม่ได้พูดถึงในรายงานคือ ในช่วงที่ชีวิตที่ยาวขึ้นนั้น การมีงานทำของผู้สูงอายุกำลังถูกบีบโดย AI Disruption มากยิ่งขึ้นคือ คนไม่ต้องพึ่งคำปรึกษาหรือประสบการณ์จากผู้สูงอายุอีกต่อไป (ยกเว้นพ่อนายกฯ) เพราะ AI เข้ามาแทนที่ได้ดีกว่า และผู้สูงอายุจะเอาตัวไม่รอด

สิ่งที่ WEF ห่วงคือ ระบบบำเหน็จบำนาญในแต่ละประเทศที่มีอยู่จะรับไม่ไหว เนื่องจากความท้าทาย 3 ประการ คือ

1) ความไม่พอเพียงของรายได้หลังเกษียณ 2) ความไม่ครอบคลุมของระบบบำเหน็จบำนาญ และ 3) เสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม ซึ่งข้อท้าทายต่างๆ เหล่านี้ ประเทศไทยเองก็กำลังเผชิญปัญหาอยู่และกำลังแก้ไขปัญหาดังกล่าวรวมทั้งการบริหารจัดการและความไม่โปร่งใส ดังที่กำลังเป็นข่าวในขณะนี้

นักวิชาการบางคน (Kowalik 2024) เห็นว่าความอายุยืนจะมีผลอย่างยิ่งต่อเงินที่มีอยู่หลังเกษียณ เพราะยิ่งอายุยืนเท่าใด ก็จะต้องใช้เวลาและเงินทองยามหลังเกษียณนานขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ารักษาพยาบาลและการดูแลระยะยาว และที่สำคัญ คือ คนที่เคยคิดว่าจะเก็บเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณประมาณ 20 ปี นั้นอาจคิดผิด เพราะปัจจุบันนี้ การมีอายุหลังเกษียณอาจยาวนานกว่านั้นและต้องใช้เงินมากกว่าที่เคยคิด

นอกจากเรื่องการเงินแล้ว เพื่อหาคำตอบปัญหาความอายุยืนต่อวิถีการดำรงชีวิต ในปี 2565 WEF ได้ร่วมมือกับ Mercer บรรษัทยักษ์ใหญ่ด้านยุทธศาสตร์และโลกของงาน จัดประชุมเชิงปฏิบัติระดับโลก จัดสัมมนาออนไลน์ และประชุมคณะทำงาน หลายครั้ง

ผลการประชุมต่างๆ ดังกล่าวได้คำตอบตรงกันว่าสิ่งที่จะช่วยให้คนมีความสุขจากความอายุยืนขึ้น มิได้มีเพียงแต่ด้านการเงินเพียงอย่างเดียวแต่ควรมองแบบองค์รวม (Holistic approach) คือไม่ได้จำกัดอยู่แค่รายได้หรือเงินเท่านั้น แต่ต้องให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลักทั้งด้านคุณภาพชีวิต (Quality of life) (ควรห่วงชีวิตที่มีสุขภาพมากกว่าแค่อายุยืน) การมีจุดหมาย (Purpose) และ การมีเงินพอใช้ (Financial resilience) (คำว่า “การมีจุดหมาย” ในรายงานของ WEF/Mercer หมายถึงการดำเนินการหาความรู้และทักษะใหม่เพื่ออยู่ร่วมในสังคม การรักษาการติดต่อกับเพื่อนฝูง ครอบครัว หรือชุมชนซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต การรักษาความสัมพันธ์ต่างรุ่น และติดตามเทคโนโลยีเพื่อให้ทันโลก) ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา WEF/Mercer ได้ทำเป็นรายงาน ชื่อ “Living Longer, Better : Understanding Longevity Literacy” โดยรายงานดังกล่าวได้เปิดแนวคิดเรื่อง Longevity Literacy หรือ ความรู้พื้นฐานสำหรับการมีอายุยืน ซึ่งเน้นใน 3 หลักการณ์ที่สำคัญ คือ คุณภาพชีวิต การมีจุดหมาย และความพอเพียงด้านการเงิน

ในการจัดทำรายงาน WEF/Mercer ได้จัดทำโพลเล็กๆ เร็วๆ ออนไลน์ (Pulse poll) ผ่านเครือข่ายในระดับโลก ที่สำรวจคนระดับวิชาชีพ 400 คน ช่วงตุลา-พฤศจิกา 2565 เพื่อศึกษาว่าการมีอายุยืนขึ้นจะทำให้ประชาชน รัฐบาล และนักธุรกิจชั้นนำ จะมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับงานและการเกษียณอายุอย่างไร และได้แสดงผลการสำรวจไว้ในรายงาน ผลที่พบอย่างหนึ่งคือการที่คนอายุยืนขึ้นก็มีเรื่องที่คนเป็นห่วง เช่น ร้อยละ 40 ของผู้ตอบต้องการความรู้ความเข้าใจว่าในช่วงเกษียณสถานการณ์การเงินของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ร้อยละ 45 คิดว่าตนมีเงินออมพอใช้ และนอกจากเรื่องการเงิน ร้อยละ 43 ของผู้ตอบมีความกังวลเรื่องสุขภาพ การอยู่ร่วมในสังคมและรักษาความเป็นอิสระทางการเงินอย่างมีศักดิ์ศรีจนถึงวันตาย

รายละเอียดของรายงานดังกล่าวรวมทั้งผลการทำโพลนับว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่อง “การให้ความรู้พื้นฐานของการมีอายุยืน (Longevity Literacy)” (และ “หลักการเศรษฐกิจอายุยืน 6 ประการ” ซึ่งไม่ได้นำมาลงในที่นี้) เพื่อเตือนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายว่า อย่าหลงประเด็น (ว่าการมีอายุยืนเป็นแค่เรื่องรายได้อย่างเดียวแต่ต้องดูองค์รวม) แต่ผู้เขียนไม่สามารถนำมากล่าวรายละเอียดได้ในบทความนี้เพราะเขามีลิขสิทธิ์ ท่านที่สนใจสามารถหาอ่านได้จากเว็บไซต์ครับ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.