ผู้รายงานพิเศษฯ UNHRC แสดงความกังวล ‘ระบบคลังสุขภาพ’ เสี่ยง ’ภาระตกที่ผู้ป่วย’ มองสุขภาพเป็นสินค้า อาจฉุดรั้งความก้าวหน้าไทย – แนะรัฐ ออกมาตรการปกป้อง ‘มลพิษจากภาคธุรกิจ’ หากปล่อยให้ละเมิด อนาคตระบบสาธารณสุข ต้องแบกรับผลกระทบมหาศาล
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เวลา 13.00 น. ที่ห้อง Studio R3 ชั้น 4 โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ น.ส.ทลาเลง โมโฟเค็ง (Tlaleng Mofokeng) ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิด้านสุขภาพ (UNHRC) แถลงภายหลังการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 18-28 กุมภาพันธ์นี้
โดยในการมาเยือนครั้งนี้ ได้ร่วมสังเกตการณ์แนวปฏิบัติและข้อท้าทายเกี่ยวกับการเข้าถึง การเป็นที่ยอมรับ ความสามารถในการจ่ายค่าบริการ และคุณภาพของบริการสาธารณสุข รวมถึงพบปะกับหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในกรุงเทพมหานคร จังหวัดภูเก็ต สระแก้ว และปราจีนบุรี เพื่อประเมินสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการมีสิทธิด้านสุขภาพกายและจิตใจในไทย โดยเดินทางไปเยือนสถานที่ให้บริการ พร้อมสังเกตการณ์การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและปัจจัยต่างๆ (determinants of health) จากแนวคิดที่คำนึงถึงอำนาจทับซ้อน (intersectional perspective) โดยให้ความสำคัญกับประชากรกลุ่มชายขอบ ทั้งนี้ ผู้รายงานพิเศษ จะนำเสนอรายงานฉบับเต็ม ต่อ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ในเดือนมิถุนายนนี้ต่อไป
ในตอนหนึ่ง น.ส.ทลาเลง โมโฟเค็ง แพทย์ชาวแอฟริกาใต้ ในฐานะผู้รายงานพิเศษฯ ว่าด้วยสิทธิด้านสุขภาพ (UNHRC) กล่าวถึง ‘กระทรวงสาธารณสุข’ ด้วยว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างโดดเด่น นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 และปัจจุบันเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงตั้งแต่ พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ซึ่งในปี พ.ศ. 2545 นับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีรายได้ปานกลางกลุ่มแรกๆ ที่มี ระบบ ‘หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า’ และ ‘หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ’ ที่แบ่งออกเป็นหน่วยงานต่างๆ มีหน้าที่ในการจัดการและกำกับดูแล บริการทางคลินิก และการบริหาร มีกลไกเงินทุนต่างๆ สำหรับบริการสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้รับเงินสนับสนุน ผ่านนายจ้าง ลูกจ้าง ภาษี และค่าบริการแบบจ่ายเอง (out-of-pocket)
อย่างไรก็ดี ในส่วนของ ‘ภาครัฐและเอกชน’ นั้น น.ส.ทลาเลง ได้แสดงความกังวลว่าสถานการณ์ปัจจุบันของการเงินในระบบคลังสุขภาพ (health financing) มีปัญหาการขาดดุลการเงินและความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ในการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนระบบสุขภาพ
“ในขณะเดียวกัน ‘การแพทย์เฉพาะทางเฉพาะกลุ่มที่เกิดขึ้นใหม่’ สร้างความเสี่ยงที่จะทำให้การดูแลสุขภาพกลายเป็นเพียงสินค้า การแปรรูปกิจการทางสุขภาพจากรัฐ เป็นเอกชน (privatization) ที่เกิดมากขึ้น อาจฉุดรั้งความก้าวหน้าของไทย โดยการให้ความสำคัญกับผลกำไรของภาคเอกชนเป็นหลัก ภาระทางการเงินที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาเฉพาะทาง
เช่น การใช้ยารักษามะเร็งและโรคที่พบได้น้อย จำเป็นต้องมีการให้บริการสาธารณสุขที่จะรับประกันการเข้าถึงผลทางวิทยาศาสตร์ ที่ทันสมัย และที่เท่าเทียมกันทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน“ น.ส.ทลาเลงกล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยต้องรับรองว่า จะสนับสนุนการบำบัดแบบจำเพาะเจาะจง (targeted therapies) รวมทั้ง ‘ปรับเปลี่ยนนโยบายที่จำเป็น’ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการแพทย์ที่ช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิต (life-saving treatment) ในราคาที่เหมาะสม มากขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสิทธิของผู้ป่วยและให้บริการระบบสุขภาพ จึงต้องมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิทางสุขภาพ
ในด้านมิติที่เกี่ยวกับ ‘สิ่งแวดล้อม’ น.ส.ทลาเลง เผยว่าได้รับฟังข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากการนำทรัพยากรธรรมชาติออกจากแหล่งกำเนิด ที่นำไปสู่มลพิษทางดิน น้ำ อากาศ และเสียง รวมถึงสารพิษที่เกิดขึ้นจากโลหะหนัก โรคปอด และหัวใจ โรคเรื้อรัง สุขภาพจิต และโรคมะเร็ง
โดยรัฐบาลมีหน้าที่ในการบังคับใช้แถลงการณ์ความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมหลักการชี้แนะของสหประชาชาติ ว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน และต้องให้ความสำคัญกับพันธกรณีภายใต้สิทธิทางสุขภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่สามเข้ามาแทรกแซงการใช้สิทธินี้
“ระบบสาธารณสุขของไทย อาจต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล และอาจนำไปสู่การสูญเสียคุณภาพชีวิต รวมถึงการเสียชีวิต เนื่องจากการขาดมาตรการป้องกันที่เพียงพอในการปฏิบัติและการละเมิดต่างๆ จากภาคธุรกิจ” น.ส.ทลาเลงกล่าว