ผอ.สคทช.รับเสียชื่อ-เสียใจ ชาวบ้านขายที่รัฐให้ต่างชาติปลูกทุเรียน ย้ำให้มองภาพใหญ่แจกมา3ล้านไร่ ยังไม่มีใครทำผิดกติกา
กรณี บริษัทเอกชนของคนไทย ได้กว้านซื้อที่ดินชาวบ้าน ใน อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา จำนวน 1,500 ไร่ โดยที่ดินเหล่านั้นอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแควระบม และป่าสียัด ซึ่งบางส่วนอยู่ระหว่างการสำรวจรายชื่อราษฎร เพื่อให้เข้าทำกินอย่างถูกต้องภายใต้ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.) และบางส่วน ได้จัดสรรที่ดินให้ราษฎรไปบ้างแล้ว และเมื่อรวบรวมที่ดินได้ตามเป้าประสงค์ บริษัทดังกล่าวจึงนำที่ดินนี้ไปขายให้กับกลุ่มนายทุนจากต่างชาติ เพื่อปลูกทุเรียน โดยทางเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด(ทสจ.)ฉะเชิงเทรา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้เข้ายึด และจับกุม พบว่า ได้มีการปลูกทุเรียนไปแล้ว 450 ไร่ และมีการสร้างสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา รวมถึง อาคารสำนักงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปลูกทุเรียน ให้เต็มพื้นที่ทั้ง 1,500 ไร่นั้น
วันที่ 1 มีนาคม นางรวีวรรณ ภูริเดช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ(สคทช.) ให้สัมภาษณ์กับ มติชนออนไลน์ เกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นว่า ติดตามข่าวอยู่ รวมถึง ได้คุยกับทางกับทางกรมป่าไม้ นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานคณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมวุฒิสภา สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด(ทสจ.)ฉะเชิงเทรา แล้ว พบว่า กรณีที่เกิดขึ้น เป็นที่ดินแปลงค่อนข้างใหญ่คือ มากกว่า 100 ไร่ 2 แปลง ซึ่ง พื้นที่ เป็นที่ที่ชาวบ้านอยู่ภายใต้มติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 โดยทาง คทช.ได้เข้าไปสำรวจ ตรวจสอบ และมอบให้ทางคทช.จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้ว และทางผู้ว่าราชการ จ.ฉะเชิงเทรา เตรียมการที่จะตรวจสอบรายชื่อ และเรียกราษฎรเหล่านั้นมาสัมภาษณ์ เพื่อมอบสมุดการทำกินในพื้นที่อย่างถูกกต้อง แต่ปรากฏว่า คนเหล่านั้นไม่มาแสดงตน ซึ่งคาดว่า มีการบอกขายที่ดินแบบปากเปล่าไปแล้ว จึงไม่มาขอรับสิทธิ
“ยอมรับว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เราก็เสียใจ และทำให้คทช.เสียชื่อเหมือนกัน เพราะการที่มีราษฎรเข้าไปทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาตินั้น เป็นความผิดอยู่แล้ว แต่กรณีที่ทำกินอยู่ก่อนตาม มติ ครม.30มิถุนายน 2541 ที่ได้รับการยกเว้น รัฐบาลก็พยายามแก้ปัญหา โดยโครงการของคทช.ที่จัดสรรที่ดินให้ราษฎรทำกิน ครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ ที่ผ่านมา ทั่วประเทศ เราแจกสมุดการทำกินในที่ดินของรัฐซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และยังมีที่ของกรมธนารักษ์ และหน่วยงานอื่นๆอีก เป็นต้น อยากให้ทุกคนมองในภาพใหญ่ว่า ที่อื่นๆที่ประชาชนเข้าทำกินภายใต้คทช.นั้น เราแจกมาแล้ว 3 ล้านไร่ทั่วประเทศ เขายังทำกินภายใต้กติกา คือ ไม่ขาย ไม่เผา และไม่มีการบุกรุกป่าเพิ่มเติม”นางรวีวรรณ กล่าว
เมื่อถามว่า กรณีที่ ฉะเชิงเทรา นั้น ทำให้ต้องมีการคัดกรองผู้ที่จะเข้ามารับสิทธิทำกินภายใต้โครงการคทช.มากยิ่งขึ้นหรือไม่ ผู้อำนวยการคทช. กล่าวว่า ความจริงชาวบ้านที่ได้รับสิทธิทำกินในพื้นที่ป่านั้น ทำกินอยู่เดิมอยู่แล้ว แต่อยู่อย่างไม่ถูกต้อง วันหนึ่งอาจจะถูกจับก็ได้ สคทช.ต้องการให้ชาวบ้านเหล่านี้ อยู่อย่างถูกต้องภายใต้โครงการคทช.ซึ่งก่อนที่จะมอบสิทธินี้ก็มีการทำความเข้าใจแล้วข้อตกลงกันก่อนแล้ว ซึ่งที่อื่นๆแทบจะไม่มีปัญหา แต่มาเกิดปัญหาที่ ฉะเชิงเทรา และเป็นที่แปลงใหญ่ด้วย ก็ถือเป็นส่วนน้อย อยากให้มองภาพใหญ่ว่า ส่วนใหญ่ชาวบ้านยังอยู่ในกติกา
“อย่างเช่น ที่ จ.น่าน เดิมที ชาวบ้านปลูกข้าวโพดในพื้นที่ป่า เราเข้าไปพูดคุย ให้ความรู้ เขาเปลี่ยนจากปลูกกกข้าวโพดเป็นปลูกกาแฟ ซึ่งทำให้ดินดีขึ้น ป่าดีขึ้น และชาวบ้านก็มีรายได้ดีและมั่นคงขึ้นด้วย”ผู้อำนวยการสคทช.กล่าว