ดูแตร์เตถูกจับส่งขึ้นเครื่องบินไปเฮก ลูกสาวชี้ลักพาตัว ปธน.ปินส์ยันทำตามตำรวจสากล
ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ ออกมาแถลงข่าวว่า ฟิลิปปินส์ได้ส่งตัวนายโรดริโก ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ขึ้นเครื่องบินเพื่อมุ่งหน้าไปยังกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อเผชิญกับข้อกล่าวหาว่าเขาได้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ที่เกี่ยวข้องกับสงครามกับยาเสพติดอันนองเลือด พร้อมยืนยันว่าเราไม่ได้ช่วยเหลือศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) แต่อย่างใด โดยการจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามระเบียบของตำรวจสากล
การออกมาแถลงดังกล่าวของผู้นำฟิลิปปินส์มีขึ้นหลังจากที่ในวันเดียวกันมีรายงานว่าดูแตร์เตถูกจับกุมที่สนามบิน ขณะที่เขาเดินทางกลับมาจากฮ่องกง ซึ่งเขาได้เดินทางไปพบกับแรงงานฟิลิปปินส์ที่ทำงานอยู่ และดูเหมือนเขาจะรู้ตัวล่วงหน้าว่าถูกไอซีซีออกหมายจับ เพราะได้ประกาศตั้งแต่อยู่ในฮ่องกงว่าเขาพร้อมที่จะเข้าคุกหากถูกไอซีซีออกหมายจับจากการทำสงครามกับยาเสพติด
ในการเผยแพร่คำกล่าวของดูแตร์เตผ่านไลฟ์สตรีมขณะที่เขาถูกควบคุมตัว ดูแตร์เตยืนกรานว่า เขาควรถูกพิจารณาคดีในศาลในฟิลิปปินส์ “ทำไมคุณถึงนำตัวผมไปที่องค์กรระหว่างประเทศ ในเมื่อเราไม่ใช่สมาชิกอีกต่อไป คิดให้ดี เพราะมันจะมีผลกระทบตามมา”
ดูแตร์เตยืนยันมาตลอดว่า เขาบอกให้ตำรวจสามารถวิสามัญฆาตกรรมเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น และปกป้องการทำสงครามยาเสพติดของเขามาตลอด โดยบอกกับผู้สนับสนุนของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาพร้อมที่จะ “เน่าตายในคุก” หากหมายถึงการขจัดยาเสพติดผิดกฎหมายออกไปจากฟิลิปปินส์
การจับกุมครั้งนี้ทำให้เกิดความโกรธแค้นในครอบครัว ผู้ภักดี และผู้สนับสนุนดูแตร์เตที่ยังคงได้รับความนิยมจากประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งพวกเขาระบุว่าการจับกุมครั้งนี้เป็นการดูหมิ่นอำนาจอธิปไตยของฟิลิปปินส์
ขณะที่ดูแตร์เตยังอาจกลายเป็นอดีตผู้นำประเทศในเอเชียคนแรกที่ต้องขึ้นศาลไอซีซีด้วย
ก่อนที่ประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ จะออกมาแถลงรับว่าได้มีการส่งตัวดูแตร์เตขึ้นเครื่องไปยังกรุงเฮก เวโรนิกา ดูแตร์เต บุตรสาวของอดีตผู้นำฟิลิปปินส์ โพสต์บนอินสตาแกรมว่า “พ่อของฉันถูกลักพาตัว พวกเขาพรากพ่อไปจากเรา พาเขาขึ้นเครื่องบิน โดยไม่บอกว่าจะไปที่ไหน”
ด้านคริสโตเฟอร์ บองโก ผู้ช่วยคนสนิทของดูแตร์เตที่ขณะนี้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก กล่าวว่า ยุคสมัยที่ชาวต่างชาติเป็นผู้กำหนดวิธีในการบริหารกิจการภายในประเทศของเรานั้นล่วงเลยมานานแล้ว
ไอซีซีชี้ว่า ดูแตร์เตถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมซึ่งถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และมีความรับผิดทางอาญาสำหรับการฆาตกรรมผู้คนอย่างน้อย 43 ราย ที่ถูกกล่าวหาว่าเกิดขึ้นระหว่างปี 2011 ถึง 2019 พร้อมยืนยันว่า ไอซีซีมีอำนาจในการสอบสวนคดีที่เกิดขึ้นขณะที่ฟิลิปปินส์ยังเป็นสมาชิกของศาลอยู่
ในหมายจับของไอซีซีระบุว่า ผู้พิพากษามั่นใจว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะสรุปได้ว่า ดูแตร์เตเป็นหัวหน้าหน่วยสังหารที่ปฏิบัติการตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองดาเวาทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ และต่อมาเขาได้ก้าวเข้ามาควบคุมการบังคับใช้กฎหมายของฟิลิปปินส์เมื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ดูแตร์เตเป็นอดีตนายกเทศมนตรีและอดีตอัยการที่ทำหน้าที่โดยไม่ประนีประนอม ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำฟิลิปปินส์ในปี 2016-2022 การที่เขาถูกจับกุมเมื่อเช้าวันอังคารที่ 11 มีนาคม ถือเป็นก้าวสำคัญที่สุดในการสืบสวนของไอซีซีเกี่ยวกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ที่ถูกกล่าวหาว่าเกิดขึ้นระหว่างการทำสงครามปราบปรามยาเสพติด ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 6,000 ราย และเรียกเสียงประณามทั่วโลก
กลุ่มสิทธิมนุษยชนและครอบครัวของเหยื่อกล่าวว่าการจับกุมดูแตร์เตเป็นก้าวสำคัญสู่การรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายที่โหดร้ายและน่าสะพรึงกลัว ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ชาวฟิลิปปินส์ที่ยากจนที่สุด
การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวดูแตร์เตซึ่งถือว่าผู้มีอิทธิพลอย่างมากในฟิลิปปินส์ ซึ่งได้จับมือเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับมาร์กอส จูเนียร์ เพื่อช่วยให้เขาชนะการเลือกตั้งในปี 2022 ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย โดยมีซารา ดูแตร์เต ลูกสาวของอดีตผู้นำฟิลิปปินส์รั้งตำแหน่งรองประธานาธิบดี
ต่อมาทั้งสองก็ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ซึ่งนำไปสู่การถอดถอนซาราเมื่อเดือนที่กุมภาพันธ์ โดยสภาผู้แทนราษฎรที่นำโดยกลุ่มผู้ภักดีต่อมาร์กอส จูเนียร์ และประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ยังส่งสัญญานว่าเขาจะปฏิบัติตามหากมีการออกหมายจับดูแตร์เต หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาเคยให้คำมั่นว่าจะไม่ช่วยเหลือไอซีซี
ทั้งนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ยอมรับเองว่า การสอบสวนคดีสงครามยาเสพติดของตำรวจฟิลิปปินส์ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่ดูแตร์เตและผู้บังคับบัญชาตำรวจระดับสูงของเขา ก็ไม่มีใครถูกตั้งข้อหาตามกฎหมายในประเทศแต่อย่างใด