นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายกิตติพงษ์ บุรณศิริ รองผู้จัดการทั่วไป สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์ และทีมงาน ร่วมหารือกับ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลล์ จำกัด นำโดย นายวิชัย สินอนันต์พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด และ นายทาคาชิ มิยาจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง พร้อมทีมงาน ร่วมประชุมและหารือถึงแนวทางการสนับสนุนสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์อุตสาหกรรมการผลิต ทิศทางด้านตลาดรถกระบะ และอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะของ บสย.
เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา นายสิทธิกร กล่าวว่า ปัจจุบัน บสย. สามารถค้ำประกันสินเชื่อลีสซิ่งกับสถาบันการเงินและ Non-Bank ที่สถาบันการเงินถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50% ตามประกาศของกระทรวงการคลัง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บสย. ได้เตรียมออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อเช่าซื้อ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการซื้อรถกระบะคันใหม่เพื่อใช้ในการทำธุรกิจ ขนส่งและค้าขาย หรือการใช้เชิงพาณิชย์ รวมทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินเพิ่มอัตราการอนุมัติสินเชื่อ (Approval rate) ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. นอกจากนี้ ยังเป็นการขานรับนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนภาคธุรกิจขนาดเล็ก และกระตุ้นตลาดรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ซบเซาให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตลอดปีนี้
ด้าน นายวิชัย สินอนันต์พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีที่จะทำงานร่วมกับ บสย. โดยเฉพาะการเข้ามาค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับสถาบันการเงิน ซึ่งรวมถึงตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง และจะช่วยให้ภาพรวมตลาดรถกระบะขยายตัวขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมตลาดรถยนต์ในไทยโดยรวมหดตัว ทั้งในแง่การผลิตเพื่อขายในประเทศและการผลิตเพื่อการส่งออก โดยในเดือนมกราคม 2568 รถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดผลิตทั้งหมด 70,604 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (ม.ค.2567) 18.65%
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สะท้อนการเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศ ภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่านมา การผลิตเพื่อขายในประเทศและการส่งออกสัดส่วนอยู่ที่ 50:50 แต่ปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่าตลาดในประเทศหดตัว ทำให้การผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงเหลือ 31% และส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 69% ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะรถกระบะ 1 ตัน ที่เป็นฐานการผลิตใหญ่ที่สุดของโลก ยานยนต์มีสัดส่วนต่อ GDP ไทยถึง 18% (ข้อมูลปี 2566 จากสถาบันยานยนต์) และมีการจ้างงานกว่า 850,000 ตำแหน่ง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
“ปัจจุบันยอดผลิตรถยนต์รวมทุกประเภทจากฐานการผลิตของไทยมีจำนวน 1.477 ล้านคัน (ขายในประเทศ+ส่งออก) เป็นสัดส่วนการผลิตรถกระบะ 1 ตันเกือบ 50% หรือกว่า 7.3 แสนคัน นั่นหมายความว่ารถกระบะยังเป็นโพรดักส์ แชมมเปี้ยน ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สำหรับอีซูซุและผู้ผลิตรถกระบะรายอื่น ๆ ปัจจุบันมีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ หรือ Local content มากกว่า 90% แสดงให้เห็นว่า การผลิตรถกระบะทั้งซัพพลายเชนอยู่ที่ประเทศไทย ไทยคือฐานผลิตใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถกระบะหดตัวต่อเนื่อง ปี 2566 การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 28% ส่งออก 72% และปี 2567 การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 20% การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 80% และในปีนี้แนวโน้มตลาดยังคงซบเซาต่อเนื่อง แต่เมื่อภาครัฐมีมาตรการด้านการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. ก็เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้มากขึ้น” ผู้บริหาร อีซูซุ กล่าว