เตือน ‘ทรัมป์’ ถ้าไม่ถอยภาษี โอกาสเศรษฐกิจ ‘ถดถอย’ สูง
SUB_BUA March 17, 2025 01:24 PM
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลกผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

ชาวอเมริกันเลือกโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าฝีมือด้านเศรษฐกิจน่าจะดีกว่าคามาลา แฮร์ริส คู่ชิงจากเดโมแครต เพราะทรัมป์สัญญาว่าจะทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ ลดลงตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ขณะที่คนอีกมากก็ชอบนโยบาย “เนรเทศผู้อพยพ” ครั้งใหญ่ ส่วนบรรดาบริษัทขนาดใหญ่ ผู้คนในแวดวงวอลล์สตรีตก็ชมชอบนโยบายของทรัมป์ที่จะลดภาษีเงินได้ให้กับคนรวยและบริษัทต่าง ๆ

เป็นการเลือกทั้งที่ทรัมป์ประกาศชัดว่าเขาจะเก็บภาษีศุลกากรจากทุกประเทศทั่วโลกที่ส่งสินค้าเข้ามายังสหรัฐอย่างน้อย 10% และจะเพิ่มภาษีสินค้าจากจีนอีก 10% ซึ่งบรรดานักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าจะทำให้ค่าครองชีพชาวอเมริกันสูงขึ้น ต้นทุนทุกอย่างสูงขึ้น

ชาวอเมริกันที่เลือกทรัมป์พากันเชื่อว่า สิ่งที่ทรัมป์ขู่เรื่องการเก็บภาษีจากทุกประเทศเป็นเพียง “วาทกรรม” ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำจริง ๆ ยกเว้นภาษีที่จัดเก็บจากจีนที่จะดำเนินต่อไป เพราะเป็นนโยบายต่อเนื่องของรัฐบาลมาหลายสมัย จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ที่น่าแปลกใจ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ทรัมป์หันมาเล่นงานประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโกและแคนาดาที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ โดยเก็บภาษี 25% แต่แล้วไม่ทันไรก็ยอมเลื่อนการเก็บภาษีไปอีก 1 เดือน พอครบ 1 เดือนก็ยอมเลื่อนไปอีกสำหรับสินค้าประเภทรถยนต์ มีการตอบโต้กันไปมา

โดยเฉพาะแคนาดาที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ และต่อจากนั้นทรัมป์ก็ยังขู่จะขึ้นภาษีกับแคนาดาอีกหลายยก มีการเปลี่ยนแปลงไปมา สับสนอลหม่าน โกลาหลไม่หยุดหย่อน เดี๋ยวเก็บ เดี๋ยวไม่เก็บ

ความเปลี่ยนแปลงไปมารายวัน หรือบางครั้งรายชั่วโมง หาความแน่นอนไม่ได้ และการบาดหมางที่หนักข้อขึ้นระหว่างสหรัฐกับเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะแคนาดา ทำให้บรรดานักธุรกิจเริ่ม “เบื่อหน่าย” กับความปั่นป่วนที่ทรัมป์สร้างขึ้น เนื่องจากไม่สามารถวางแผนธุรกิจอะไรได้เลย ทุกอย่างคาดเดาไม่ได้ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในแต่ละวันของทรัมป์

เมื่อเริ่มประจักษ์ว่าทรัมป์ไม่สนใจความสำคัญของ “ความแน่นอน เชื่อถือได้” ของผู้นำประเทศ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และอีกทั้งไม่สนใจว่าการขึ้นภาษีศุลกากรมีแต่จะทำให้ต้นทุนทุกอย่างในสหรัฐสูงขึ้น และจะตามมาด้วยเงินเฟ้อและเศรษฐกิจไม่เติบโต

ด้วยเหตุนั้นความกลัวว่าเศรษฐกิจจะ “ถดถอย” เริ่มเกิดขึ้นในหมู่นักลงทุน ซึ่งแสดงออกรุนแรงในวันที่ 10 มีนาคม โดยตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างหนัก ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 890.01 จุด หรือ 2.08% ดัชนี S&P500 ลดลง 155.64 จุด หรือ 2.70% ดัชนี Nasdaq ลดลง 727.90 จุด หรือ 4.00% หลังจากทรัมป์ให้สัมภาษณ์ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะถดถอยจากนโยบายภาษีศุลกากร

สื่ออเมริกันอย่างซีเอ็นเอ็นระบุว่า ดูเหมือนว่าภายในเวลาเพียงแค่ 20 วัน ทรัมป์ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐที่เคยทำจุดสูงสุดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า และเศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง มองไม่เห็นเลยว่าเศรษฐกิจจะถดถอย มาบัดนี้คำว่า “ถดถอย” ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นทุกหนแห่ง

ความระห่ำไม่หยุดของทรัมป์ ทำให้บรรดานักวิเคราะห์จากสถาบันดัง ๆ พากันปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจ พร้อมทั้งปรับเพิ่มโอกาสที่เศรษฐกิจจะถดถอย เนื่องจากเห็นว่านโยบายของทรัมป์กำลังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่คาดไว้

โกลด์แมนแซคส์ ปรับเพิ่มโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยเป็น 20% ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า จากเดิม 15%

“เราเพิ่มโอกาสถดถอยไปเพียงเท่านี้ก่อนในตอนนี้ เพราะรัฐบาลมีทางเลือกที่จะยอมถอยเรื่องภาษีหากความเสี่ยงเริ่มจะซีเรียสกว่าเดิม แต่ถ้ารัฐบาลยังคงเดินหน้าทั้งที่เห็นว่าข้อมูลเศรษฐกิจแย่ลง ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยก็จะสูงขึ้นไปอีก”

ส่วน มอร์แกน สแตนลีย์ ลดคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีทั้งปีเหลือ 1.5% จากเดิม 1.9% สอดคล้องกับคาดการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา ที่ชี้ว่าเศรษฐกิจไตรมาส 1 หดตัว 2.4% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.3%

เดวิด เคลลี่ หัวหน้านักกลยุทธ์ระดับโลกของเจพีมอร์แกน แอสเซต แมเนจเมนต์ ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐโดยปกติมีความยืดหยุ่นและฟื้นคืนสภาพได้เร็ว แต่จะต้องไม่ใช่ภายใต้ภาวะ “ความไม่แน่นอน” ที่เกิดขึ้นแบบนี้ ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจทรัมป์ โดยเฉพาะแผนการเก็บภาษีศุลกากรที่สับสนเป็นตัวปัญหาใหญ่

เคลลี่เปรียบเทียบว่า ในตอนนี้นักธุรกิจอยู่ในสภาพคล้ายกับ “กวางที่โดนแสงไฟหน้าของรถยนต์” กล่าวคือมีทั้งความกลัว ความตกใจ และประหลาดใจ จนไม่สามารถขยับตัวหรือคิดอะไรได้เลย เป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก ๆ ตลาดและเศรษฐกิจกำลังลำบากจากความไม่แน่นอนเรื่องภาษีศุลกากรของทรัมป์ รวมทั้งการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล การเลิกจ้างข้าราชการจำนวนมาก

ลาร์รี ซัมเมอร์ อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐให้ความเห็นว่า “มีความเป็นไปได้อย่างแท้จริง” ที่เศรษฐกิจจะถดถอย เพราะตอนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิด “วงจรอุบาทว์” ซึ่งก็คือเศรษฐกิจที่อ่อนแรง จะนำไปสู่ตลาดที่อ่อนแอ จากนั้นตลาดที่อ่อนแอจะทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ “ตลาดมักจะพึ่งพาสิ่งที่คาดการณ์ได้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับได้รับเซอร์ไพรส์ของเซอร์ไพรส์และของเซอร์ไพรส์อีกที” (surprise after surprise after surprise.)

บิลล์ ดัดลีย์ อดีตประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า เร็วเกินไปที่จะทำนายว่าเศรษฐกิจจะถดถอย แต่ยอมรับว่า “ความเสี่ยง” เพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย โดยภาษีศุลกากรนั้นจะส่งผลกระทบสองอย่าง ด้านหนึ่งทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งทำให้เศรษฐกิจเติบโตน้อยลง รัฐบาลทรัมป์กำลังทำให้สิ่งต่าง ๆ เลวร้ายลง ด้วยนโยบายภาษีศุลกากรที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวเก็บ เดี๋ยวไม่เก็บ ทำให้ระดับความไม่แน่นอนสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น

เอ็ด ยาร์เดนี ประธานยาร์เดนี รีเสิร์ช ชี้ว่าตลาดหุ้นหมดความมั่นใจในรัฐบาลทรัมป์ ทุกอย่างอยู่ในความเสี่ยง ตลาดหุ้นที่ดิ่งลงรุนแรงจะส่งผลกระทบด้านลบต่อความมั่งคั่งอีกด้วย ดังนั้น ทรัมป์ต้องคิดใหม่ ไม่ควรคิดว่าไม่เป็นไรที่จะปล่อยให้ตลาดหุ้นพัง ในขณะที่เขาทำการทดลองเรื่องภาษีและการเลิกจ้างข้าราชการ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.