นับจากนี้ไป 5 ปีมี สว. 200 คน เป็นดุลอำนาจใหม่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ใช้เสียงชี้ขาด-ให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ-ตุลาการ 2 ศาล และตำแหน่งหมายเลข 1 ในโครงสร้างอำนาจฝ่ายอำนวยความยุติธรรม
สว.ใหม่ 200 เสียง ในฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่เพียงเป็นอำนาจหลัก แต่อาจจะพลิกเป็นอำนาจนำ ในการกำหนดชะตาทางการเมืองไทย ผ่านการให้ความเห็น-ออกเสียงชี้ขาดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาวุฒิสมาชิกที่มาจากการคัดสรรของคณะรัฐประหาร จะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องตกจากวาระฝ่ายนิติบัญญัติไปแล้วถึง 25 ร่าง
นับจากนี้ไป สว. 200 เสียงจะเป็นดุลอำนาจใหม่ที่จะ “รับร่าง” หรือ “ตีตก” การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จำเป็นต้องได้เสียง สว.อย่างน้อย 67 เสียง
ดุลอำนาจของ สว.ที่ต้องร่วมชี้ชะตาว่าจะให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ อย่างน้อยต้องร่วมพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จาก 2 พรรค 2 ขั้ว 2 ฉบับ
ฉบับแรกของพรรคเพื่อไทย (พท.) ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ. … โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค เป็นผู้เสนอ
ฉบับที่สองเป็นของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ. … โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค เป็นผู้เสนอ
อำนาจของ 200 สว.ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 คือ ต้องพิจารณาและให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งใน 6 องค์กรอิสระ และ 7 ตำแหน่งในองค์กรอื่นตามที่กฎหมายกำหนดเอาไว้
1. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน
2. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 9 คน
3. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 7 คน
4. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 7 คน
5. คณะกรรมการตรวจการแผ่นดิน 7 คน
6. ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน 1 คน
7. ผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คน
1. อัยการสูงสุด
2. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) 11 คน
3. เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
4. เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.)
5. ประธานศาลปกครองสูงสุด
6. ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
7. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
หากไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง เสียง 200 สว. เกินกึ่งหนึ่ง และเสียงข้างมาก ต้องโหวตให้ความเห็นชอบ กรรมการองค์กรอิสระหมดวาระลง 12 คน จาก 4 องค์กร ดังนี้
สิงหาคม 32567 ให้ความเห็นชอบ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 1 คน แทน พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ กรรมการ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์
กันยายน 2567 คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ครบวาระ 6 คน จากทั้งหมด 7 คน คือ พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธาน, ยุพิน ชลานนท์นิวัฒน์, พิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์, จินดา มหัทธนวัฒน์, สรรเสริญ พลเจียก, อรพิน ผลสุวรรณ์
พฤศจิกายน 2567 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ครบวาระ 2 คน จากทั้งหมด 9 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธาน และนายปัญญา อุดชาชน
พฤศจิกายน 2567 ผู้ตรวจการแผ่นดิน ครบวาระ 1 คน จากทั้งหมด 3 คน คือ สมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธาน
ธันวาคม 2567 กรรมการ ป.ป.ช. ครบวาระ 3 คน จากทั้งหมด 9 คน คือ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน, สุวณา สุวรรณจูฑะ และวิทยา อาคมพิทักษ์
ครึ่งปีหลังนี้มีคดีการเมืองใหญ่-แต่งตั้งบุคคลสำคัญรออยู่ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าดุลอำนาจใหม่ สว. 200 เสียง ในฝ่ายนิติบัญญัติ จะมีส่วนสำคัญและเป็นปัจจัยชี้ขาดในการใช้อำนาจต้นทางขององค์กรอิสระ ตุลาการ และปลายทางคืออนาคตการเมืองไทย