เมื่อวันจันทร์ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมรัฐสภาได้พิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2)
พูดง่าย ๆ คือญัตติให้ 2 สภาลงมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องทำประชามติกี่หนกันแน่
เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ในปี 2564 ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ผ่านการลงประชามติมาแล้ว จะต้องทำประชามติถามความเห็นของประชาชนก่อน
พรรคการเมืองเกิดความเห็นต่างในเรื่องการทำประชามติว่าจะทำ 2 ครั้งหรือ 3 ครั้ง
ในการพิจารณาเมื่อวันที่ 17 มี.ค. ทั้ง สส. และ สว.ลุกขึ้นมาอภิปรายในประเด็นเหล่านี้อีกครั้ง
ฝ่ายค้านจวกรัฐบาลว่าไปเปิดประตูเรียกศาลเข้ามาทำไม หรือว่าต้องการ “เตะถ่วง” การแก้ไข
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลยืนยันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องชัดเจนในทุกขั้นตอน
หากสุ่มเสี่ยงดำเนินการไปอาจถูกตีตกเสียหายไปทั้งหมด
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นปัญหาระดับ “มหากาพย์” ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่เลือกตั้ง 2562
ที่จริงกระแสต่อต้านรัฐธรรมนูญ 2560 เกิดขึ้นก่อนเลือกตั้ง 2562 แต่การเลือกตั้ง 2562 ตอกย้ำปัญหามากมาย
โดยเฉพาะการใช้ “บัตรใบเดียว” สำหรับคะแนนเลือก สส.เขต และ สส.บัญชีรายชื่อ
และการกำหนดให้ สว.ร่วมลงมติเลือกนายกฯ
ครั้งนั้น “กกต.” โดนถล่มหนัก และเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ผลเลือกตั้งครั้งนั้นทำให้มีพรรคตบเท้าเข้าสภา 20 กว่าพรรค
มีพรรคต่ำสิบจำนวนมาก
เป็นประโยชน์กับขั้วไหนคงพอนึกกันออก
เมื่อเข้ามาในสภา พรรคต่าง ๆ เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างคึกคัก
ปรากฏว่าถูกตีร่วงหมดโดยวุฒิสภาชุด 250 คนนั่นเอง
ผ่านเพียง 1 ประเด็น คือการแก้ไขให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ สำหรับ สส.เขต และ สส.ปาร์ตี้ลิสต์
ซึ่งนำมาใช้ในการเลือกตั้งปี 2566
และทำให้เกิดผลการเลือกตั้งที่สะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองมากขึ้น
สำหรับการทำประชามติ แวดวงนักกฎหมายเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ค่อนข้างชัดเจนแล้วในคำวินิจฉัยที่ 4/2564
มีเนื้อความปรากฏในคำวินิจฉัยดังกล่าวว่า “การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยวิธีการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้มีหมวด 15/1 ย่อมมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560”
“อันเป็นการแก้ไขหลักการสำคัญ ที่ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมต้องการปกป้องคุ้มครองไว้ ‘หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่’ ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อน ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”
“ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วย จึงดำเนินการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป เมื่อเสร็จแล้ว ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการให้ประชาชนพิจารณาเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
“แล้วจึงนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ฯลฯ”
ในการประชุมวันที่ 17 มี.ค. นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า เคยเข้าพบ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ระบุว่าถ้อยคำสำคัญคือ “หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
หากรัฐสภายังไม่แสดงความต้องการ ก็ยังไม่ครบองค์ประกอบ จึงต้องดำเนินการให้ครบองค์ประกอบ
ก่อนที่ประธานวันมูหะมัดนอร์ขอชี้แจงว่า ยังมีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในปี 2567 อีกฉบับ ระบุว่า รัฐสภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประธานสภามีอำนาจบรรจุวาระและเงื่อนไขของการแก้ไข คือถ้ารัฐสภาต้องการแก้ไขก็ต้องทำประชามติ
ฝ่ายกฎหมายของสภาเห็นว่า คำว่า “รัฐสภาต้องการแก้ไข” ต้องแสดงให้เห็นด้วยมติเห็นชอบการแก้ไขมาตรา 256 ในวาระ 1, 2 และ 3
หากรัฐสภาผ่าน 3 วาระ เท่ากับรัฐสภาต้องการแก้ไข จึงค่อยไปทำประชามติ
หากไม่เห็นชอบ ไม่ว่าจะวาระ 1 หรือ 3 ก็เท่ากับรัฐสภาไม่ต้องการแก้ไข ต้องยุติการดำเนินการ
เป็นการ “ลงลึก” ไปในสัญญาณจากศาลรัฐธรรมนูญ
การอภิปรายหลังจากนั้น สะท้อนความหวาดระแวง ระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน
ยิ่งทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญดูซับซ้อน และดูสุ่มเสี่ยงมากขึ้น