ปัญญามนุษย์ : สมองกับสติปัฏฐาน 4
มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า ‘โฮโมซาเปียนส์’ พระพุทธเจ้าเมื่อประมาณ 2.600 ปีมาแล้ว ได้ทรงสอนว่า มนุษย์ต่างจากสัตว์ชนิดอื่นด้วยการมี ‘ปัญญา’ ลักษณะสำคัญของมนุษย์คือความเป็น ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ซึ่งมนุษย์รู้แจ้งได้ด้วยการภาวนา ในเรื่องขั้นตอนของการภาวนานั้น องค์ทะไลลามะให้อรรถาธิบายตามคัมภีร์ภาวนากรม (ซึ่งนัยนา นาควัชระแปลและให้ชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ลำดับขั้นแห่งการปฏิบัติภาวนา”) ว่า การภาวนามี 2 สาย คือสายอุบายและสายปัญญา คืออุบายในการเจริญโพธิจิตเพื่อการอนุเคราะห์สรรพสัตว์ด้วยความกรุณา ส่วนปัญญาคือการบำเพ็ญบารมีเพื่อเข้าใจความว่าง
องค์ทะไลลามะทรงย้ำว่า ศาสนามิได้ขึ้นอยู่กับศรัทธาเพียงอย่างเดียว แต่ควรเกิดเพราะมีเหตุผลและตรรกะรองรับ และพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ควรมีความสอดคล้องต้องกัน พุทธศาสนาสอนหนทางการพ้นทุกข์โดยการลดลงของกิเลส โดยเจริญลักษณะที่เป็นกุศล เมื่อฝ่ายกุศลเข้มแข็งขึ้น ฝ่ายอกุศลก็จะอ่อนกำลังลง ดังนั้น เรา ‘ควรพากเพียรสร้างเหตุและปัจจัยของความเป็นสัพพัญญู’
ผมเข้าใจว่าอาจารย์ชาญชัย ลิมปิยากร เขียนหนังสือชื่อ “สติปัฏฐาน 4: ปัญญามนุษย์ สปีซีส์โฮโมเซเปียนส์” เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์การเจริญสติในสายหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ พร้อมทั้งให้เหตุผลที่เป็นวิทยาศาสตร์รองรับ โดยหวังให้คน ‘รุ่นหลาน’ ได้เกิดปัญญาเพื่อลดความทุกข์ลงได้บ้าง ผมขอสรุปย่อเนื้อหาที่อ่านได้จากการหนังสือ “ปัญญามนุษย์ฯ” ของอาจารย์ชาญชัย ดังนี้
– มนุษย์มียีนเป็นส่วนหนึ่งของ ดีเอ็นเอ ที่ให้เอกลักษณ์เฉพาะตัวแก่ร่างกายเรา
– สัญญาณ (อายตนะ) จากภายนอกและภายในตัวเราถูกประมวลผลด้วยระบบประสาทส่วนกลาง และแปลงเป็นสัญญาณเชิงนามธรรมของจิต
– อาจารย์ชาญชัยเรียกการประมวลผลนี้ว่าอัลกอริทึมขันธ์ 5 (หรือขั้นตอนวิธีขันธ์ 5)
– ขั้นตอนวิธีนี้สร้างโปรแกรมสัญชาตญาณเพื่อให้มนุษย์สามารถดำรงตัวตนและแก้ปัญหาทางโลกได้
– ขณะเดียวกันก็สร้างสัญชาตญาณเอาตัวตนเป็นศูนย์กลาง มีกิเลสที่ผูกไว้กับวัฏสงสาร 10 ประการ ที่เรียกว่าสังโยชน์ 10
– ในบทส่งท้าย ชาญชัยเขียนว่า สังโยชน์ คือความเป็นตัวตนของตนเอง คือการสำนึกที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง คือกิเลสที่ผูกคนไว้กับวัฏสงสาร ท่านพุทธทาสสอนว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นหรือมีอุปาทานเป็นตัวกู ดังนั้น ชาญชัยจึงชวนให้ไตร่ตรองถึงสังโยชน์ หรือ “ลักษณะของตัวกู” ให้ชัดขึ้น “ตัวกู”ในนิยามของสังโยชน์ มีลักษณะ 10 ประการดังนี้
– 1) ความเห็นว่าเป็นอัตตาตัวตน 2) ความลังเลสงสัยว่าแก่นของพุทธศาสนานั้นเป็นจริงหรือ 3) การพึ่งโชคชะตาราศี แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหนือธรรมชาติคุ้มครอง 4) ความกำหนัดในกาม เพื่อมีลูกหลาน 5) ความพอใจไม่พอใจกับ สถานะทางชีวิตและสังคมที่ตนเอง เป็นอยู่ 6) ความกำหนัดในรูป ดูหนังดูละคร ผ่อนคลายจิต 7) ความกำหนัดในอรูป ฝึกสมาธิหลับตาหาความสงบของจิต 8) ความถือตัว หลงตัวเอง 9) ความฟุ้งซ่าน คิดวกไปวนมา เพื่อหาทางออก จนหมดแรง ตามมาด้วยซึมเศร้า 10) อวิชชา หรือ ความไม่รู้
– การละสังโยชน์คือมรรคาให้เข้าถึง ความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์ ตามลำดับ
– การฝึกจิตคือการฝึกให้ออกจากโหมดขันธ์ 5 โดยฝึกตามมหาสติปัฏฐาน 4
– การฝึกสติปัฏฐานจะช่วยล้างอุปาทานขันธ์ 5 อันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์
– การฝึกจะพาเข้าสู่อารมณ์โพชฌงค์ 7 เมื่อสุดท้ายจิตเข้าสู่สภาวะอุเบกขา ก็จะพ้นทุกข์จากอุปาทานขันธ์ 5
ขอแนะนำความสัมพันธ์ระหว่าอาจารย์ชาญชัยกับผมสักเล็กน้อย เราเป็นคนรุ่นเดียวกัน เข้าสอนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในเวลาใกล้เคียงกัน เพียงแต่คนละภาควิชา ได้มาสนิทสนมและช่วยงานกันในกิจกรรมเพื่อสังคมตราบจนทุกวันนี้ หลัง 14 ตุลา 2516 เรามีความสนใจร่วมกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะในการหนุนเสริมงานของสหภาพเพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เรามีเพื่อนสนิทอีกคนที่จุฬาฯ คืออาจารย์สำลี ใจดี แต่พอเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เราได้มาปรับทุกข์กันว่าจะไปทางไหนดี สรุปได้ว่าต่างคนต่างไปในทางที่ถนัด
อาจารย์ชาญชัยผู้ถนัดงานวิศวกรรมเครื่องกล ได้ไปบุกเบิกงานเทคโนโลยีที่เหมาะสม ส่วนอาจารย์สำลีผู้ถนัดงานเภสัชชุมชนได้ไปริเริ่มงานศึกษาปัญหายา ผมสนใจเรื่องสันติวิธีจึงได้ไปร่วมงานกับกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม ซึ่งทำงานด้านสิทธิมนุษยชนด้วยภายใต้การนำของนิโคลัส เบนเนตต์ พอสถานการณ์ทางการเมืองผ่อนคลายลง เรากลับมาช่วยกันฟื้นฟูสหภาพเพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนขึ้นมาใหม่ ซึ่งต่อมาจดทะเบียนเป็นสมาคม โดยแทนคำว่า “สหภาพเพื่อ” ด้วยคำว่า “สมาคม” ชื่อเดิมมีคำว่า “เพื่อ” ชื่อใหม่ไม่มี สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ทำงานล่วงเลยมากว่าห้าสิบปีแล้ว (รวมเวลาที่เป็นสหภาพด้วย)
ในด้านปัญญาญาณและความมุ่งมั่น ผมขอยกย่องชาญชัย และขอยกให้เป็นศิษย์ผู้พี่ เพราะได้ไปอบรมกับหลวงตาสุริยา มหาปัญโญภิกขุที่วัดป่าโสมพนัส อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนครก่อนผมหลายปี และคงเห็นว่าผมกำลังเสียโอกาสที่เกิดมาชาตินี้เป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสปีซีส์ “ฉลาด” (คำว่า sapiens แปลว่าฉลาด) ที่น่าจะมีปัญญาหาความหมายแก่ชีวิต จึงชวนผมไปฝึกด้วย เมื่อถูกชวนผมได้ถามว่า การอบรมนี่เพื่อลดกิเลสใช่ไหม ชาญชัยคงไม่ตอบหรืออธิบายอะไรมาก ซึ่งตรงตามวิธีของหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ ที่ให้ผู้ฝึกพบด้วยตนเอง มิใช่ด้วยคำบอกกล่าวของผู้ใด แต่ผมนึกเอาเองว่าใช่ ผมจะไปฝึกกับหลวงตาสุริยาเพื่อลดกิเลส การวางเป้าหมายเช่นนี้อาจดีอยู่หรอก แต่ชวนให้ผมไขว้เขวเสียมากกว่า
อันที่จริง หลวงพ่อเทียนแนะนำว่า ฝึกให้รู้สึกตัวเฉย ๆ จนสติเข้มแข็ง แล้วเดินไปในเส้นทางแห่งสติ หลวงตาส่งพวกเราไปนั่งทำมือเข้าจังหวะ 14 จังหวะ สลับด้วยการเดินจงกรมในพื้นที่ป่าไผ่ (ดูบรรยากาศการฝึกในรูปที่อยู่ในหน้าแรกของหนังสือ) แม้อาจหวังลดกิเลส แต่ก่อนอื่นต้องเพียรรับมือกับนิวรณ์ห้าที่มาเยือน
ชาญชัยเล่าให้ฟังว่า เขาได้อารมณ์ “รูป – นาม” ในการฝึกครั้งแรก ผู้ฝึกเจริญสติแบบเข้าจังหวะมักจะสอบอารมณ์ว่าได้ “รูป – นาม” หรือยัง โดยเล่าถึงอาการ “รูป – นาม” ที่รับรู้ผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ กัน ผมเองก็อยากได้อารมณ์เช่นนี้กับเขาบ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจสักทีว่าใช่หรือไม่ อย่างไรก็ดี ขอขอบคุณศิษย์ผู้พี่ที่ให้คำอธิบายเรื่องอารมณ์รูป – นามไว้ในหนังสือ “ปัญญามนุษย์ฯ” อย่างกระจ่างชัดพอสมควร
บทที่ว่าด้วยสมองและใจเป็นวิทยาทานจากอาจารย์ชาญชัยที่ต่างจากหนังสือฝึกสติทั่วไป ผู้อ่านควรอ่านทวนดูหลายครั้งหน่อย เพื่อจะจำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์รวมถึงชื่อ ตำแหน่ง และหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของสมองได้แม่นยำขึ้น ผู้สนใจอาจหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือ “ประสาทวิทยาศาสตร์การรู้คิด” ริชาร์ด พาสซิงแฮม เขียน ชัยภัทร ชุณหรัศมิ์ แปล จึงขอชื่นชมอาจารย์ชาญชัยที่บอกกล่าวแก่เราว่า ความเข้าใจคำสอนของพุทธศาสนาอาจเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเข้าใจวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในสาขาประสาทวิทยาศาสตร์
นักประสาทวิทยาศาสตร์มีข้อค้นพบที่น่าทึ่งหลายประการ ซึ่งพาสซิงแฮมนำมาเล่าและผมขอแบ่งปันโดยสังเขป ดังนี้
– การพยายามทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันอาจก่อให้เกิดภาวะสัญญาณรบกวนกันเองได้ เพราะการกระทำหลายรูปแบบจะต้องผ่านเข้าสู่สมองบริเวณเดียวกัน ทำให้เกิดสภาวะคอขวดเมื่อการตัดสินใจเกิดขึ้นได้เพียงทีละอย่างเท่านั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถจึงอันตราย เพราะภาวะคอขวดนี้จะทำให้เราตัดสินใจได้ล่าช้า เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันบนถนน
– หลักการทางศีลธรรมที่ว่า ‘จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่อยากให้เขาปฏิบัติต่อเรา’ นั้น อาศัยความสามารถของสมองในการคาดเดาว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไรต่อการกระทำของเรา
– ระหว่างที่เราเฝ้าสังเกตการกระทำของผู้อื่น เราจำลองการกระทำนั้นโดยอัตโนมัติ ทำให้คาดเดาความคิดของผู้อื่นได้ด้วย ทำให้เข้าใจเจตนาของพวกเขา
– เราเก่งกว่าวานรในบางประการ เช่น เราสามารถเคลื่อนไหวนิ้วต่าง ๆ อย่างเป็นอิสระต่อกัน (ทำให้เล่นดนตรีได้) คนเราส่วนใหญ่ถนัดมือขวา โดยมือข้างที่ถนัดสัมพันธ์กับซีกสมองที่โดดเด่นด้านภาษา (ลิงไม่มีมือข้างที่ถนัด และไม่โดดเด่นด้านภาษา)
– มนุษย์ยุคต้นอาจถนัดมือขวาจากการใช้มือข้างนี้กะเทาะหินเพื่อทำเป็นเครื่องมือ ต่อมาใช้มือทำท่าทางสื่อสารกัน แล้วจึงพัฒนาภาษาพูด การถนัดมือขวาทำให้สมองซีกซ้ายเป็นซีกเด่นสำหรับภาษาพูด และภาษาพูดช่วยให้โฮโมซาเปียนส์ร่วมมือกันได้ดีกว่าโฮโมสปีซีส์อื่น
ผมคิดว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายได้ เราก็ควรรับไว้ เพื่อลดความหลงเชื่อแบบงมงาย แต่ยังคงมีหลายสิ่งอยู่ดีที่วิทยาศาสตร์กำลังสืบค้นต่อไป จึงทำให้นึกถึงคำถามที่องค์ทะไลลามะเขียนไว้ในหนังสือชื่อ “จักรวาลในหนึ่งอะตอม” แปลโดยเพชรรัตน์ พงษ์เจริญสุข ความว่า “พวกเราประจักษ์แล้วว่า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางเคมีในสมอง ประสบการณ์เชิงอัตวิสัยหลายอย่างของเราก็เกิดขึ้น เช่น การรับรู้หรือประสาทสัมผัส แต่เราสามารถนึกในทางกลับกันได้หรือไม่ว่า แค่เพียงอาศัยความคิด ก็สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางเคมีในสมองได้แล้ว?” หมายความว่าถ้านักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าสภาวะทางจิตเกิดจากสภาวะทางกาย นักวิทยาศาสตร์ช่วยพิสูจน์ด้วยได้ไหมว่า ไม่ใช่ทั้งหมดของกระบวนการทางจิตที่เป็นเรื่องทางกายภาพ อีกทั้งกระบวนการทางจิตอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพได้หรือไม่
องค์ทะไลลามะอยากเชิญชวนนักวิทยาศาสตร์มาวัดสภาวะการทำงานของสมองของผู้เจริญสติ รวมทั้งของลามะและฤษีผู้ชำนาญ มีเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะที่องค์ทะไลลามะอยากให้มีการวิจัย นั่นคือวิจัยเกี่ยวกับ “สภาวะแสงกระจ่าง” ซึ่งจะแสดงออกในช่วงเวลาสั้น ๆ ขณะที่มนุษย์กำลังจะสิ้นใจ ท่านลิง ริมโปเชดำรงอยู่ในภาวะแสงกระจ่างสิบสามวัน แม้ทางการแพทย์จะถือว่าท่านหยุดหายใจและตายไปแล้ว ถ้าเราสามารถตรวจพบร่องรอยของสารเคมีบางอย่างในร่างกายของท่านก็คงน่าสนใจยิ่ง
เมื่อทีมนักวิจัยของริชาร์ด เดวิดสันมาที่ธรรมศาลาและอยากทำการทดลองในเรื่องนี้ องค์ทะไลลามะได้ปรารภว่า “ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่ไม่มีผู้ปฏิบัติธรรมท่านใดตายในระหว่างนั้นเลย” นักประสาทวิทยาศาสตร์ ริชาร์ด พาสซิงแฮมปรารภไว้ในหนังสือของเขาที่อ้างถึงข้างต้นในทำนองเดียวกันว่า สมองส่วนต่าง ๆ ทำงานเชื่อมโยงกัน หากส่วนหนึ่งเสียหาย ทักษะบางอย่างอาจหายไปหรือมีส่วนอื่นมาแทนที่ แต่เราไม่สามารถจงใจทำส่วนหนึ่งส่วนใดให้เสียหาย เพื่อยืนยันสมมุติฐานหนึ่งใดได้ วิทยาศาสตร์ต้องดำเนินไปภายในกรอบของจริยธรรม ซึ่งแม้จะทำให้ช้าลงก็ต้องยอม
ผมถามชาญชัยว่า ทำไมจึงรวมเรื่องสมองกับใจไว้ในบทเดียวกันในหนังสือ “ปัญญามนุษย์ฯ” คำตอบที่ได้คือใจในความหมายนี้รวมไว้ในเรื่องทางกายภาพ คือเป็นอารมณ์อันเกิดแต่ฮอร์โมนที่เกินหรือขาดและการทำงานของระบบปราสาทย่อยเป็นสำคัญ ฟังคำตอบแล้วก็พยายามทำความเข้าใจกับคำว่า ใจ – จิต – จิตวิญญาณ ว่ามีความหมายเหมือนและต่างกันอย่างไร แล้วก็พอเดาว่า ความหมายของคำย่อมขึ้นอยู่กับบริบทและกาลสมัย
บังเอิญในตอนนั้นผมได้หยิบคำบรรยายเรื่อง “แก่นพุทธศาสน์” ของท่านพุทธทาส ที่ท่านให้ไว้นานแล้ว (ตั้งแต่ปี 2504) มาอ่าน ก็มีความกระจ่างขึ้นเมื่อพบข้อความตอนหนึ่งซึ่งท่านบรรยายว่า “ขอบัญญัติคำขึ้นมาใหม่เป็น 3 คำว่า: โรคทางกาย โรคทางจิต (mental disease) สองอย่างนี้เอาไว้เป็นฝ่ายโรคทางกายหมดแล้ว ก็มีคำว่า spiritual disease นี้แหละคือโรคในทางวิญญาณ ซึ่งตรงกับทางจิตในสมัยพุทธกาล … โรคทางวิญญาณมันเป็นอยู่ภายใน ฉะนั้น ให้เรียกกันเพื่อจำง่ายว่า โรคตัวกู – ของกู … เชื้อคือความยึดมั่นถือมั่น … (ดังพุทธวจนะที่ว่า) สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น … แล้วก็ปฏิบัติเพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ได้ผลเป็นจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร เป็นจิตที่ว่างที่สุด จึงถือว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนา”
หลวงตาสุริยาสอนเราผ่านการสอบอารมณ์ และการทำวัตรเย็นซึ่งบ่อยครั้งเป็นการเลือกสวดบางบทบางตอนของมหาสติปัฏฐานสูตร หนังสือที่ใช้ทำวัตรมีชื่อว่า “ทำวัตรเช้า – เย็น และมหาสติปัฏฐานสูตรแปล” จัดพิมพ์โดยวัดป่าโสมพนัส ระหว่างเข้าอบรม ผมอยากแอบเอาหนังสือเล่มนี้มาอ่านทบทวนเพื่อเสริมความเข้าใจ แต่หลวงตากำชับเสมอว่า ในระหว่างฝึกห้ามอ่าน การฝึกเน้นที่การรู้สึกตัว ไม่เน้นการอ่าน – การเขียน ซึ่งเป็นเรื่องความคิด
อาจารย์ชาญชัยได้สอนผมหลายครั้งว่า ให้ทำความเข้าใจเรื่องขันธ์ 5 พร้อมทั้งกล่าวถึง “อุปาทานขันธ์ 5” อยู่เสมอ ผมสงสัยว่าทำไมต้องเพิ่มคำว่า “อุปาทาน” เข้าไปด้วย มาได้ความกระจ่างขึ้นจากการที่ชาญชัยชี้ให้เห็นในหนังสือ “ปัญญามนุษย์ฯ” ว่า บรรพะของสติปัฏฐานสูตรว่าด้วยกำหนดรู้อริยสัจจ์ 4 อย่าง มีคำสรุปลงท้ายว่า “อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ นี้เรียกว่าทุกข์ในอริยสัจจ์”
ท่านพุทธทาสย่อความปฏิจจสมุปบาทไว้ในการบรรยาย “แก่นพุทธศาสน์” ของท่านด้วยว่า “เมื่อมีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสมากระทบที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย – ผิวหนัง ให้ผัสสะหยุดอยู่ที่ผัสสะ ให้เวทนาหยุดอยู่ที่เวทนา … อย่าปรุงเป็นตัณหา อุปาทานเป็นตัวกู เป็นของกูขึ้นมา” ชาญชัยจึงเน้นว่าอุปาทานนี้คือตัวทุกข์
เมื่อไม่นานมานี้ ผมถามถึงการปฏิบัติของอาจารย์ชาญชัย คำตอบที่ได้คือ การตั้งนาฬิกาให้คอยส่งเสียงเตือน เมื่อนาฬิกาดังให้หยุดเคลื่อนไหวชั่วครู่ ตั้งสติ รู้สึกตัว ผมเชื่อว่านี่เป็นกุศโลบายที่ดี น่าเอาอย่าง แต่ผมยังเอาอย่างไม่ได้ ขอฝึกอย่างมีรูปแบบบ้างต่อไปก่อน หวังว่าพอรู้ตัวมากกว่านี้ จะขอทำตามคำกล่าวของอาจารย์ชาญชัย และถ้าทำได้ก็จะขอทำตามท่านเขมานันทะ ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนสำคัญคนหนึ่งของหลวงพ่อเทียน ท่านกล่าวว่า
“ผมไม่ได้ปฏิบัติในรูปแบบนานแล้วครับ มีสติเมื่อไรก็เมื่อนั้น ไม่มีสติก็คือ มีสติ พอเรารู้ตัวว่าเราไม่มีสติ นั่นก็คือสติ ตลอดเวลาจึงเป็นการปฏิบัติภาวนา ถ้ามีสติก็รู้สึกตัว ถ้าสติหลุดแล้วรู้สึกตัวก็เหมือนกันครับ ทั้งสองอย่างคือการภาวนา”
ในคำปรารภขึ้นต้นของหนังสือ “ปัญญามนุษย์ฯ” ชาญชัยเขียนว่า
“หนังสือเล่มนี้เขียนเมื่อผมอายุ 80 ปี เนื่องจากทราบดีว่า ผมคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ในขณะที่ระบบ เศรษฐกิจ สังคม นิเวศ และภูมิรัฐศาสตร์ของดาวเคราะห์ดวงนี้กำลังเข้าสู่สภาพไร้ระเบียบ (Chaos) ที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความตั้งใจให้เป็นมรดกแก่คนรุ่นหลานปู่ เป็นมรดกทางสติปัญญาที่อาจกินไม่ได้ แต่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเหล่านั้นดำรงชีวิตบนดาวโลกดวงนี้ได้อย่างไม่ทุกข์มากและไม่จนปัญญา”
ผมขออนุโมทนาบุญกับความอุตสาหะและความตั้งใจดีในการเขียนหนังสือ “ปัญญามนุษย์ฯ”เพื่อรุ่นหลานของชาญชัยเอง แต่ก็เชื่อว่าคนในวัยอื่นก็พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ อาจารย์ชาญชัยช่วยชี้ทางให้ผมเริ่มเดิน ครั้งยังเดินไม่คล่อง ก็ยังมาช่วยประคองต่อไป ขอขอบคุณอย่างยิ่งครับ
โคทม อารียา