กาแฟไม่พอความต้องการ ไทยต้องนำเข้ามากกว่า 80,000 ตัน สศก. เผยผลผลิตปี 67/68 รวมเพียง 15,651 ตัน ดันโรบัสตาราคาพุ่ง 135% เฉลี่ยกก.ละ 80 บาท
วันที่ 18 มี.ค.2568 นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตกาแฟไทย ปีการผลิต 2567/68 ว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกาแฟกว่า 220,053 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีพื้นที่ปลูก 216,517 ไร่ (กาแฟอาราบิกา 129,778 ไร่ และโรบัสตา 86,739 ไร่)
ผลผลิตรวม 15,651 ตัน (อาราบิกา 10,682 ตัน และโรบัสตา 4,969 ตัน) ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่มีผลผลิต 16,623 ตัน (กาแฟอาราบิกา 10,690 ตัน และโรบัสตา 5,933 ตัน)
อย่างไรก็ตามปริมาณการผลิตรวมยังคงน้อยกว่าปริมาณความต้องการใช้ที่ต้องการมากกว่า 95,500 ตัน ทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้ากาแฟทั้งในรูปเมล็ดกาแฟดิบ เมล็ดกาแฟคั่ว กาแฟสำเร็จรูป และรูปแบบอื่นๆ มากกว่า 80,000 ตัน
จากปริมาณผลผลิตที่ไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้ราคากาแฟมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากพิจารณาราคาที่เกษตรกรขายได้ พบว่า เมล็ดกาแฟอาราบิกา (กะลา) เฉลี่ยราคา ณ เดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ 163 บาทต่อกิโลกรัม
เมื่อเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา กาแฟอาราบิกา (กะลา) เฉลี่ยอยู่ที่ 160 บาทต่อกิโลกรัม หรือราคาเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.88 และสารกาแฟโรบัสตา เฉลี่ยอยู่ที่ 188 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา กาแฟโรบัสตา (สารกาแฟ) เฉลี่ยอยู่ที่ 80 บาทต่อกิโลกรัม หรือราคาเพิ่มสูงขึ้นมากถึงร้อยละ 135.00
ศูนย์สารสนเทศการเกษตร ซึ่งลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การผลิตกาแฟอย่างต่อเนื่อง ทั้งพื้นที่เพาะปลูกกาแฟอาราบิกาทางภาคเหนือ และกาแฟโรบัสตาทางภาคใต้ ชัดเจนว่าเนื้อที่ยืนต้นกาแฟ ทั้งสองชนิด มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากราคาที่เกษตรกรขายได้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรควรมุ่งเน้นการผลิตกาแฟคุณภาพสูงโดยการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ความสุกเต็มที่ ตลอดจนใส่ใจกระบวนการแปรรูป ทั้งการตากแห้ง และการคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ เพราะการเพิ่มคุณภาพกาแฟ ทำให้เกษตรกรได้ราคาเพิ่มขึ้น 5 – 10% จากราคารับซื้อทั่วไป
การเติบโตของอุตสาหกรรมกาแฟไทยไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศ แต่ยังมุ่งสู่การขยายตลาดโลก การผลิตกาแฟพรีเมียมและการเพิ่มคุณภาพการผลิต จะช่วยยกระดับกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในระดับสากล ซึ่งถือว่าเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศในระยะยาว