โจทย์ท้าทายเอสเอ็มอีไทย เคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
GH News March 19, 2025 12:00 PM

เอสเอ็มอีไทย มีความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ คือ การยกระดับขีดความสามารถผู้ประกอบการรวมถึงแรงงานในสถานประกอบการ จากการสำรวจของ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่า สถานการณ์ภาพรวมเอสเอ็มอีที่ Up skills แรงงานช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีเพียง 8.3% แบ่งตามขนาดของกิจการกลุ่มรายย่อย Up skillsแรงงานเพียง 7% รายย่อม 12.5% รายกลาง 16.5% ตามลำดับหากแบ่งตามประเภทธุรกิจ ภาคการผลิต มีการ Up skills แรงงาน 9.3% ภาคการบริการ 9.2% ภาคการค้า 6.4% และภาคธุรกิจเกษตร 5.6% ตามลำดับ

โดย นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวถึงความท้าทายการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเทคโนโลยี การใช้ AI ให้เป็นประโยชน์กับธุรกิจเอสเอ็มอีในแต่ละด้านยังขาดมาตรการเชิงรุกที่เป็นรูปธรรมเพิ่มความตระหนักและการเข้าถึงดิจิทัลเทคโนโลยีและ AI โดยมี 5 ส่วนสำคัญ คือ

1.เอสเอ็มอีที่นำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการติดต่อ Supplier หรือผู้ขายวัตถุดิบ-สินค้า 62% ระดับ 0 ยังใช้รูปแบบการโทรสั่งหรือติดต่อผู้ขายโดยตรงที่ร้าน ส่วนที่เหลือระดับ 1 มี 28.2% ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ ระดับ 2 มี 9.7% ใช้ระบบการสั่งซื้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ และมีส่วนน้อยมากระดับ 3 มี 0.1% ที่ใช้ระบบออนไลน์แบบ Real-time ซึ่งการใช้รูปแบบการสั่งซื้อแบบโทรศัพท์หรือไปหน้าร้าน หากแบ่งตามขนาดเป็นกิจการระดับ 0 ขนาดย่อย 64.3% ขนาดย่อม 54.2% และขนาดกลาง 48.9% หากแบ่งตามประเภทกิจการภาคบริการ 69.2% ภาคการค้า 64.6% ภาคธุรกิจเกษตร 60.7% ภาคการผลิต 49.3% ตามลำดับ

2.เอสเอ็มอีที่นำเทคโนโลยีใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบผลิตภัณฑ์ 64.2% เป็นระดับ 0 ยังซื้อแบบสำเร็จรูปในท้องตลาดทั่วไป ระดับ 1 ออกแบบด้วยตนเองโดยการวาด 2D/3D ด้วยมือ 19.5% ระดับ 2 ออกแบบโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 15.5% และระดับ 3 ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบและการผลิต 0.8% หากแบ่งตามขนาดเป็นกิจการระดับ 0 ขนาดย่อย 75.3% ขนาดย่อม 41.7% และขนาดกลาง 1.4% (ส่วนใหญ่ 64.7% เป็นระดับ 2 ออกแบบโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์) หากแบ่งตามประเภทกิจการระดับ 0 ภาคการค้า 82.6% ภาคบริการ 67.7% ภาคการผลิต 57.8% ตามลำดับ และภาคธุรกิจเกษตร 27.1% (ส่วนใหญ่เป็นระดับ 2 มี 61% ออกแบบโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์)

3.เอสเอ็มอีที่นำเทคโนโลยีใช้ในกระบวนการผลิต 86.7% ระดับ 0 ใช้แรงงานควบคู่เครื่องจักรและอุปกรณ์ ระดับ 1 ใช้แรงงานควบคู่เครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติพื้นฐานบางขั้นตอน 12.3% ระดับ 2 ใช้แรงงานควบคู่เครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติพื้นฐานทุกขั้นตอน 1% และระดับ 3 ใช้ระบบ AI 0% หากแบ่งตามขนาดเป็นกิจการระดับ 0 ขนาดย่อย 90.6% ขนาดย่อม 73.7% และขนาดกลาง 61.6% หากแบ่งตามประเภทกิจการระดับ 0 ภาคธุรกิจเกษตร 97.8% ภาคบริการ 94.7% ภาคการค้า 93% และภาคการผลิต 72.4%

4.การนำเทคโนโลยีใช้สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) 56.6% ระดับ 0 ลูกค้าสามารถเสนอแนะความพึงพอใจต่อผู้ประกอบการโดยตรง ระดับ 1 มีแพลตฟอร์มออนไลน์รับเรื่องร้องเรียนหรือเสนอแนะความพึงพอใจ 40.3% ระดับ 2 โปรแกรมระบบบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยใช้กลยุทธ์หรือซอฟต์แวร์เพื่อติดตามงานขายและตรวจสอบงานบริการลูกค้า 2.5% ระดับ 3 โปรแกรมระบบวิเคราะห์ข้อมูล Big data ของลูกค้าในเชิงลึก 0.4% และระดับ 4 โปรแกรม AI ในการบริการลูกค้า 0.2% หากแบ่งตามขนาดเป็นกิจการระดับ 0 ขนาดย่อย 60.7% ขนาดย่อม 73.7% และขนาดกลาง 61.6% หากแบ่งตามประเภทกิจการระดับ 0 ภาคการค้า 67.7% ภาคธุรกิจเกษตร 57.3% ภาคบริการ 54.9% และภาคการผลิต 50.3%

5.การนำเทคโนโลยีใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจ 31.9% ระดับ 0 ไม่มีการใช้ซอฟต์แวร์ใดๆ ใช้การจดบันทึกด้วยมือบนกระดาษ ส่วนใหญ่ระดับ 1 ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 55.4% ระดับ 2 ใช้โปรแกรมเฉพาะ 12.2% ระดับ 3 โปรแกรมและระบบสารสนเทศ 0.4% และระดับ 4 โปรแกรมและระบบ AI 0.1% หากแบ่งตามขนาดเป็นกิจการส่วนใหญ่ในระดับ 1 ขนาดย่อย 49.1% ขนาดย่อม 82.2% และขนาดกลาง 73.6% หากแบ่งตามประเภทกิจการส่วนใหญ่ระดับ 1 ภาคธุรกิจเกษตร 62.9% ภาคการผลิต 59.5% ภาคบริการ 54.6% และภาคการค้า 51.6% ตามลำดับ

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติที่สำรวจแรงงานประเทศไทย พบว่า แรงงานไทย 37.5 ล้านคน ทั้งในและนอกระบบ เป็นแรงงานที่มีระดับการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า 15.6 ล้านคน (42%) แรงงานระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย 13.4 ล้านคน (36%) และแรงงานระดับอุดมศึกษา 8.5 ล้านคน (22%) สะท้อนภาพสอดคล้องกับความต้องการประชากรไทยวัยแรงงานที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถปีละ 5.3 ล้านคน

อุปสรรคสำคัญของเอสเอ็มอีในการเข้าถึงและนำไปใช้ด้านดิจิทัลเทคโนโลยีและ AI คือ
1.การเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อนำไปปรับปรุงธุรกิจ 29.5%
2.ความรู้ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านดิจิทัลเทคโนโลยี 21.6%
3.การประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน 17.6%
4.ความคุ้มค่าในการลงทุนช้า 9.3%
5.โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและระบบนิเวศทางดิจิทัล 6.6%

ประโยชน์ที่เอสเอ็มอีจะได้รับจากการเร่ง 3 ด้านใหญ่ เพื่อสร้าง Digital Literacy – Social Literacy – AI Literacy ให้เอสเอ็มอีและแรงงานเติบโตไปพร้อมๆ กัน ด้วยการดำเนินธุรกิจที่สะดวกง่ายดายมากขึ้น การลดเวลาทำงาน ยกระดับทักษะเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ช่องทางการเพิ่มรายได้และตลาดใหม่ๆ ลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

กรณีศึกษานโยบายการขับเคลื่อนเอสเอ็มอีและแรงงานเพิ่มขีดความสามารถทางด้านดิจิทัลเทคโนโลยีและ AI อาทิ

ประเทศเวียดนาม นายกรัฐมนตรี ฝัน มิน จิน ได้ 1.ผลักดัน “นโยบาย Global AI Technology Supply Chain” เตรียมพร้อมสร้างกองทัพอัจฉริยะ AI จำนวน 100,000 ราย เพื่อเชื่อมการค้า การลงทุน FDI ในกลุ่มนักลงทุนเทคโนโลยีชั้นสูง 2.มุ่งให้ธุรกิจที่มาลงทุนในเวียดนามเติบโตแข็งแกร่ง รายได้มากขึ้นจากการใช้นโยบายปฏิรูปการอำนวยความสะดวก ให้พร้อมรองรับนักลงทุนมากขึ้น 3.อัดฉีดเงินทุนและเงินกู้เพิ่มเติม ให้ผู้ประกอบการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 4.จัดงาน AI Semiconductor Conference ครั้งแรกของเวียดนาม เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติ

ประเทศจีน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ เจิ้ง ชาน เจี๋ย ได้ 1.จัดตั้งกองทุน Start Up แห่งชาติมุ่งเป้าเทคโนโลยีล้ำยุค อาทิ AI Quantum Technology การจัดเก็บพลังงาน Hydrogen 2.มาตรการอัดฉีดเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้ผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการลงทุนขยายธุรกิจและเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ 3.ปี 2568 จัดสรรงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพิ่ม 8.3%จากปีก่อนเป็น 1.2 ล้านล้านหยวน 4.Low Altitude Economy เศรษฐกิจการบินระดับต่ำ (ต่ำกว่า 1,000 เมตร) เพื่อสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ให้จีน เป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีนวัตกรรมที่เพิ่มผู้ประกอบการนวัตกรรม การจ้างงานแรงงานทักษะสูง โดยเปิดตัวสำนักงานการบินระดับต่ำของชาติ การพัฒนาระบบขนส่งสินค้าและมนุษย์ด้วยโดรน การผลิตรถยนต์บินได้เพื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและป้องกันบรรเทาสาธารณภัยเบื้องต้นภายในปี 2569

5.Little Giants 2025 สร้างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจีนที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี 1,000,000 รายทั่วประเทศ และบ่มเพาะให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมสนับสนุนด้านการเงิน ภาษี งานวิจัยนวัตกรรมเชื่อมต่อ Global Supply chain อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด AI และ EV ให้เป็น Little Giants จำนวน 10,000 รายภายในปี 2568 แต่จีนสามารถทำเสร็จตั้งแต่ปี 2567 ราว 15,000 ราย

ประเทศอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีโจโก้ วีโดโด โดย 1.เร่งพัฒนาเศรษฐกิจนอกเหนือเกาะชวา ซึ่งเป็นเกาะเมืองหลวงที่ตั้งจาการ์ตา 2.ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล 3.นโยบายการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพลังงานสู่พลังงานสีเขียว ยกเลิกการใช้ถ่านหินลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

4.การพัฒนากำลังที่มีสมรรถนะและทักษะสูง ด้วยมาตรการแพลตฟอร์มยกระดับขีดความสามารถประชาชนในประเทศ “KATU PRAKERJA” ให้สามารถพัฒนาตามความต้องการของตลาดแรงงาน เพิ่มจ้างงาน การผลิตภาพ เพิ่มรายได้ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการได้แรงงานตรงตามความต้องการ เป้าหมายปีละ 5 ล้านราย โดย 3 ปีแรกทำได้ถึง 17.5 ล้านคน ด้วย 180 หน่วยงานบ่มเพาะกว่า 1,900 หลักสูตร

ประเทศไทย ถ้าถามว่า “มีไหม” จะได้รับคำตอบว่า “มี” แต่สิ่งสำคัญมากกว่าคำว่า “มี” คือ 3 ป เป้าหมาย สามารถเข้าถึงกลุ่มเอสเอ็มอี แรงงาน ประชาชนได้มากน้อยเพียงใด ประสิทธิภาพ ระบบบริหารการจัดการ ตัวชี้วัดผลลัพธ์ การบูรณาการร่วมกันกับภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างไร และ ประสิทธิผล เกิดความคุ้มค่างบประมาณ “ทำน้อย ได้มาก” ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นรูปธรรมในการกระตุ้นเศรษฐกิจ GDP-GDP SME-การกระจายรายได้-การลดเพิ่มคุณภาพหนี้ครัวเรือน ลดหนี้เสีย ลดหนี้นอกระบบ-เพิ่มผลิตภาพแรงงาน เอสเอ็มอี และภาพรวมประเทศที่สามารถแข่งขันได้อย่างมีศักยภาพ

สิ่งสำคัญ คือ การเชื่อมโยงออกแบบนโยบาย กลยุทธ์ของมาตรการ วิธีการขับเคลื่อน งบประมาณความรู้ความเข้าใจของผู้ดำเนินการและตัวชี้วัดเพื่อเชื่อมโยงเอสเอ็มอีและแรงงานในแต่ละประเภทธุรกิจให้สามารถเข้าถึงดิจิทัลเทคโนโลยีพื้นฐาน การใช้ Social media เพื่อการดำเนินธุรกิจ การใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์ แอพพลิเคชั่น แพลตฟอร์มการค้าต่างๆ และ AI ต้องขยายผลการใช้ประโยชน์ได้จริงอย่างต่อเนื่องตามความจำเป็นของแต่ละกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ร่วมมือ ร่วมกันคิดทำกันทั้งระบบให้เอสเอ็มอีไทยแข่งขันได้อย่างมีศักยภาพ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.