สวัสดีค่ะ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา IMF ออกมาเตือนว่า นโยบายกีดกันทางการค้าจะเข้มข้นขึ้นและสร้างความตึงเครียดให้กับการค้าโลกยิ่งกว่าเดิม ส่งผลต่อปริมาณการค้า ห่วงโซ่การผลิต ระบบตลาดและทิศทางการลงทุน ซึ่งผลต่อเศรษฐกิจแต่ละประเทศจะขึ้นอยู่กับพื้นฐานและความสามารถในการปรับตัวเป็นหลัก
วันนี้ขอมาชวนคุยว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ตรงจุดไหนและจากนี้ไปไทยมีความพร้อมแค่ไหนที่จะเผชิญกับปัญหาในประเทศและความท้าทายในโลกที่รุนแรงและคาดเดาได้ยากขึ้น
เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัวได้ที่ 2.5% จากการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น 4.4% และการส่งออกสินค้าที่เพิ่มขึ้น 5.8% ขณะที่การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมกลับลดลง 0.5% และลดลงมากในหลายสินค้า เช่น ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม สอดคล้องกับการใช้กำลังการผลิตของไทยที่ลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
การบริโภคเพิ่ม การส่งออกก็เพิ่ม แล้วเหตุใดไทยเราจึงผลิตน้อยลง ? คำตอบคือ เรา “นำเข้า” เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีนี้ ที่จีนมีสินค้าออกสู่ตลาดโลกมากขึ้น ตามนโยบาย made-in-China การพัฒนาคุณภาพสินค้าให้เป็นที่ต้องการของตลาด รวมถึงความต้องการในประเทศที่ฟื้นตัวช้า ไทยจึงขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด จากการนำเข้าสินค้า เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม และเหล็ก อีกทั้งจีนยังส่งออกมาตลาดอาเซียนมากขึ้น ซึ่งอาจกดดันการส่งออกของไทยที่เดิมส่งออกได้น้อยอยู่แล้วในหลายกลุ่ม ทั้งยังตอกย้ำปัญหาที่มาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตไทยให้ชัดเจนขึ้น
“ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ของไทย หลัก ๆ มาจากการลงทุนที่ต่ำมาต่อเนื่อง ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีอาจไม่เร็วเทียบกับประเทศอื่นในหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ เรายังขาดแรงงานที่มีทักษะ ไปจนถึงกฎกติกาที่ยังเป็นอุปสรรค ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นโจทย์เก่าของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ได้แก้ไขมาระยะหนึ่งแล้ว
สัญญาณความเปราะบางของภาคการผลิตในช่วงหลังเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีที่ไทยปรับตัวไม่ทัน เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและสินค้าที่เกี่ยวกับ AI ทำให้การส่งออกสินค้ารุ่นเก่าถูกกระทบ โดยปี 2567 การส่งออกยานยนต์ลดลง 3.9% และแผงวงจรรวมและชิ้นส่วนลดลง 10.5% นอกจากนี้ตลาดยานยนต์ในประเทศยังต้องเผชิญเจอกับสงครามราคาจากรถยนต์ไฟฟ้าจีน ทำให้ราคารถทั้งมือหนึ่งและมือสองลดลง อีกทั้งการขอสินเชื่อก็ยากขึ้นด้วย วนกลับมากระทบกับความต้องการซื้อรถยนต์ในประเทศ ทำให้โรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งธุรกิจขายยานยนต์ประสบปัญหาหนักขึ้น
อีกกลุ่มที่ต้องเร่งปรับตัวคือ กลุ่มที่มีประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนการผลิตที่แข่งขันไม่ได้ ทำให้สูญเสียส่วนแบ่งตลาดไป เช่น ปิโตรเคมี ยาง พลาสติก วัสดุก่อสร้าง สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นนี้ เกิดขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ภาคการผลิตยังต้องเผชิญอาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น ความยากในการได้รับสินเชื่อของบางธุรกิจและรายได้ของแรงงานบางกลุ่มที่ฟื้นช้า ส่งผลซ้ำเติมต่อปัญหาหนี้ครัวเรือนและความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน
นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญกับความท้าทายจาก “มาตรการกีดกันทางการค้าระลอกใหม่” ที่มีเป้าหมายกระตุ้นการผลิตในสหรัฐและลดการนำเข้า ผ่านการปรับขึ้นภาษีการนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศ โดยเฉพาะกับจีนและประเทศที่สหรัฐขาดดุลด้วย การปรับกลยุทธ์และตอบโต้กันระหว่างประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 1 และ 2 ของโลกนี้ ย่อมส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการค้าโลกรวมถึงไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้
การมองผลกระทบต้องพิจารณาทั้งในแง่การเป็นคู่ค้าและคู่แข่งกับ 2 ประเทศหลักนี้ ที่สำคัญนโยบายของสหรัฐยังเป็นได้ทั้งความเสี่ยงและโอกาส ขึ้นกับความสามารถในการปรับตัว จึงทำให้ยิ่งคาดเดาผลกระทบได้ยาก
ในแง่ “ความเสี่ยง” ที่ผ่านมาสหรัฐเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยไทยส่งออกไปสหรัฐเกือบ 20% ของมูลค่าการส่งออกรวม โดยสินค้าหลัก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และเม็ดพลาสติก ซึ่งมีแนวโน้มจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นการส่งออกวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในห่วงโซ่การผลิตของจีน เพื่อส่งออกไปสหรัฐก็อาจได้รับผลกระทบด้วย
อย่างไรก็ดี ไทยอาจมี “โอกาส” เพราะสหรัฐต้องนำเข้าจากประเทศอื่นทดแทนสินค้าจีนในช่วงแรกและยังมีอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ทำให้มีเม็ดเงินลงทุนมายังไทยและประเทศในอาเซียนมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งสะท้อนจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะต่อไป
อีกหนึ่งความเสี่ยงที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจรุนแรงขึ้นจากนโยบายประเทศหลัก ทั้งจากสงครามที่ดำเนินมาต่อเนื่อง รวมทั้งความขัดแย้งในตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ ที่จะส่งผลต่อราคาพลังงาน ต้นทุนการขนส่ง ทิศทางการลงทุน รวมถึงความเชื่อมั่นและความผันผวนของตลาดการเงินโลกด้วย
เพื่อให้ “เหนื่อยน้อยลง” ในการสู้ศึกและพร้อมเผชิญความท้าทายภายนอก ความเข้มแข็งจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจเดิมทั้งการบริโภค การท่องเที่ยวและการส่งออก อาจถูกกระทบจากการค้าโลกที่จะลดลง ดังนั้น ถ้าจะแก้ปัญหาภาพใหญ่ของประเทศ ภาคการผลิตต้องกลับมาทำงานได้เต็มที่ สินค้าไทยต้องเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพราะหากขายของได้ก็จะมีรายได้ ซึ่งจะถูกนำมาจับจ่ายซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้น หมุนเวียนเป็นวงจรกิจกรรมทางเศรษฐกิจขาขึ้นได้
ดังนั้น ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้กับภาคการผลิต การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของทั้งภาครัฐและเอกชนจะช่วยเพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและสินค้าไทยได้ ขณะเดียวกันก็ต้องยกระดับคุณภาพทรัพยากร เช่น พัฒนาทักษะแรงงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม เพื่อสนับสนุนให้ภาคการผลิตปรับตัวได้ทันการณ์และพลิกฟื้นให้ไทยกลับมาเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลกได้เหมือนเมื่อก่อน
แบงก์ชาติเอง ให้ความสำคัญกับ “ความยืดหยุ่นและทนทาน” ของระบบเศรษฐกิจการเงิน เพื่อเอื้อให้ธุรกิจปรับตัวได้ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังกับความเสี่ยงต่าง ๆ จึงดำเนินนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลาและดูแลความผันผวนของตลาดการเงิน ควบคู่ไปกับการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้คนไทยผ่านการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนและภัยทางการเงิน
นอกจากนี้ ยังทยอยวางรากฐานภาคการเงินทั้งการเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่รวมถึงเงินทุน เพื่อการปรับตัวสู่การผลิตสีเขียวมากขึ้น และพัฒนาการชำระเงินที่สะดวกปลอดภัย เพื่อให้ประเทศพร้อมรับทั้งโอกาสและความท้าทายในการสู้ศึกเศรษฐกิจครั้งนี้ได้อย่างเข้มแข็ง