‘เท้ง’ เผยมีทีเด็ด อภิปรายอิ๊งค์ ไม่ใช่แค่คำว่า ‘บุคคลในครอบครัว’ แจงแค่เขียนเป็นทางการในญัตติ บอกเป็นไปได้ มีโยงไปถึง ‘ยิ่งลักษณ์’ ยันจะฉายให้เห็น ‘รบ.เพื่อไทย’ ดีลแลกประเทศเพื่อ ‘ชินวัตร’ เสี้ยม รอดู ‘นายกฯอิ๊งค์’ จะคุมเสียง-สั่ง รมต.ชี้แจงแทนได้หรือไม่
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการเจรจาเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันนี้ว่า อยากให้การอภิปรายเดินหน้าอย่างราบรื่น ซึ่งควรจะต้องมีข้อสรุปให้ได้ว่าจะอภิปรายในกรอบเวลากี่ชั่วโมง รวมถึงกติกาในการหักเวลาระหว่างกัน เช่น การประท้วงควรจะต้องไปหักเวลาในแต่ละฝ่าย เพื่อไม่ให้กินเวลาฝ่ายอื่น เพราะฉะนั้น ตอนนี้สิ่งที่ตนคาดหวังคืออยากให้หาข้อสรุปตรงกันให้ได้
ส่วนที่รัฐบาลมีมติให้เวลาฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมง และฝ่ายรัฐบาล 7 ชั่วโมง นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ตนเชื่อว่ายังสามารถปรับยืดหยุ่นกันได้ แต่ส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการตั้งกรอบจำนวนวัน ที่ควรจะต้องทำให้เกิดประสิทธิภาพในการประชุมมากที่สุด เช่น ไม่ควรจะต้องเลิกดึกเกินไปเพราะนายกรัฐมนตรีคงไม่สามารถชี้แจงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องเลิกใกล้เที่ยงคืน
“ท่านนายกฯก็คงรวบรวมประเด็นได้ไม่หมด อีกประการหนึ่งคือประชาชนที่กำลังรับฟังอยู่ทางบ้านอาจจะรับฟังได้ไม่ทั่วถึง เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าหลักที่สำคัญถ้ารัฐบาลเปิดกว้าง ควรจะต้องยึดหลักว่าต้องให้อภิปรายอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างมากที่สุด” นายณัฐพงษ์กล่าว
เมื่อถามว่าหากต่อรองเวลาฝ่ายค้านเป็น 25 ชั่วโมง จะรับได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ตนยังไม่อยากให้ข่าวก่อนถึงเวลา ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นการเสียมารยาทด้วย ยืนยันในหลักว่าเราสามารถปรับยืดหยุ่นกันได้เสมอ แต่หลักที่ควรจะมีร่วมกันคือการทำให้การอภิปรายครั้งนี้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ฝั่งรัฐบาลเองก็พูดเสมอว่าอยากให้ฝ่ายค้านอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ สำหรับตนการอภิปรายอย่างสร้างสรรค์คือประชาชนสามารถติดตาม รับทราบข้อมูลข่าวสารได้อย่างถ้วนหน้า
เมื่อถามถึงสาเหตุของการเปลี่ยนชื่อในญัตติจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลในครอบครัว นายณัฐพงษ์กล่าวว่า คำว่าบุคคลในครอบครัวสามารถอภิปรายได้กว้างขึ้น ซึ่งธีมในการอภิปรายครั้งนี้คือคำว่าดีลแลกประเทศ หมายความว่าเรามองเห็นว่าพรรคเพื่อไทยเอาผลประโยชน์ของประเทศมาแลกกับผลประโยชน์ของบุคคลในครอบครัว เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนชื่อจากนายทักษิณเป็นบุคคลในครอบครัว สำหรับพวกเราเองมองว่าเป็นการเปิดกว้างในการอภิปรายได้มากขึ้นด้วยซ้ำ
“ในเรื่องของการใช้คำในการอภิปราย ในวันจริงผมเชื่อว่าจะมีคำอีกหลากหลาย นอกเหนือจากคำว่าบุคคลในครอบครัว การใช้คำว่าบุคคลในครอบครัวเป็นภาษาทางการ ที่ใส่เป็นภาษาเขียนไว้ในญัตติ แต่ผมคิดว่าเป็นคำที่ค่อนข้างมีความเหมาะสมดีแล้ว” นายณัฐพงษ์กล่าว
เมื่อถามว่ามีการวิเคราะห์กันว่าการใช้ของบุคคลในครอบครัว สามารถลากเอาญาติคนอื่นมาได้ด้วย เช่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้เห็นในการอภิปรายหรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ แต่ก็อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ที่เรามองว่าการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ รวมถึงการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประชาชนของประเทศเป็นตัวตั้ง แต่เอาผลประโยชน์ของบุคคลในครอบครัวชินวัตรเป็นตัวตั้ง
เมื่อถามว่าข้อมูลที่อธิบายลึกแค่ไหน นายณัฐพงษ์กล่าวว่า มีหลายส่วนที่ได้มา เราไม่เคยเปิดเผยผ่านสื่อมวลชนมาก่อน ยืนยันว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์สูงสุด
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า การอภิปรายในครั้งนี้ ถ้าจะเล็งเห็นผลถึงการลงมติถอดถอนนายกรัฐมนตรีเลย ต้องเรียนตามข้อเท็จจริงว่าเป็นไปได้ยาก แต่ข้อมูลที่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ตนเชื่อว่าจะใช้เป็นหลักฐานในการยื่นฟ้องร้องต่อไป ถ้านายกรัฐมนตรีไม่สามารถชี้แจงได้อย่างชัดเจน ข้อมูลหลักฐานในครั้งนี้มีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่การยื่นถอดถอนได้ในอนาคต
เมื่อถามว่าอีกคนให้ฝ่ายค้านที่ถูกจับตาอีกคนคือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีการแบ่งเวลาอย่างไรบ้าง นายณัฐพงษ์กล่าวว่า มีการแบ่งกันอยู่แล้ว พรรคพลังประชารัฐที่ผ่านมาก็แสดงจุดยืนว่าจะขออภิปรายด้วย อย่างไรก็ต้องมีการจัดสรรเวลาอยู่แล้ว ส่วนภายในจะให้ใครมาเป็นผู้อภิปรายของพรรคพลังประชารัฐ เป็นเรื่องของแต่ละพรรค
นายณัฐพงษ์ยืนยันว่า จำนวนเสียงในการลงมติ จะสะท้อนส่วนสำคัญว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพมากน้อยขนาดไหน เพราะฉะนั้น ทุกคะแนนเสียงที่จะโหวตเห็นชอบให้กับนายกรัฐมนตรี จะเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถประเมินได้ว่าตกลงแล้ว นายกรัฐมนตรีสามารถควบคุมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลได้จริงหรือไม่ จะมอบหมายให้รัฐมนตรีชี้แจงแทนได้หรือไม่
เมื่อถามว่าจะฉายภาพให้เห็นถึงรอยร้าวพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาการดำเนินงานในฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร่างกฎหมายต่างๆ ที่ไม่สามารถเดินหน้าได้ พอพรรคร่วมรัฐบาลไม่เอา พรรคเพื่อไทยก็ต้องถอยตาม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว การอภิปรายในวันครั้งนี้ จะยิ่งเป็นการชี้ให้สังคมเห็นว่าปัญหาของรัฐบาลชุดนี้คือเรื่องนี้จริงๆ