จากกรณีที่รัฐบาล นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พร้อมคณะแถลงข่าวปฏิบัติการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ณ ศูนย์กระจายบุหรี่ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในพื้นที่ จ.นนทบุรี ยึดบุหรี่ไฟฟ้ามูลค่ารวมกว่า 130 ล้านบาท พร้อมสั่งการให้ขยายผลกว่า 100 ร้านค้า และตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อเอาผิดหรือยึดทรัพย์ในคดีฟอกเงินนั้น
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) กล่าวว่า ยท.พร้อมด้วยเครือข่ายเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ เครือข่ายทำงานสร้างเสริมสุขภาพทั่วประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล รวมถึง ตร. ที่ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งหลังจากนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการปราบปรามอย่างต่อเนื่องตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นที่ชัดเจนว่า ร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะรอบสถานศึกษาได้ปิดตัวลงเกือบทั้งหมด ซึ่ง ยท. ได้ลงสำรวจและเก็บข้อมูลพบว่าไม่มีร้านใดเปิดจำหน่ายอีก หากรัฐบาลคงมาตรการการปราบปรามเข้มงวดลักษณะนี้ต่อไปอย่างน้อย 3 เดือน จะทำให้ความต้องการบุหรี่ไฟฟ้าของไทย มีโอกาสหายไปที่สุด นับว่าเป็นผลดีในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
นายพชรพรรษ์ กล่าวว่า แม้จะมีประชาชนจำนวนหนึ่งได้แนะนำให้รัฐบาล ไปปราบปรามยาเสพติดมากกว่าบุหรี่ไฟฟ้า แต่จากข้อมูลที่ ยท. ร่วมกับกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ศึกษาพฤติกรรมการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนก่อนได้รับโทษคดียาเสพติดในศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน 39 แห่งทั่วประเทศ รวม 300 คน มีอายุเฉลี่ย 17 ปี พบว่า 95.4% เคยสูบบุหรี่มวน และ 79.3% เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้า ในจำนวนนี้ 76% พัฒนาไปสู่การใช้ยาเสพติดอื่นๆ ทั้งนี้ยาเสพติดที่นิยมมากที่สุดคือ ยาเสพติดประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน กัญชา กระท่อม 45.1% รองลงมาคือ ยาเสพติดประเภทกระตุ้นประสาท ยาบ้า (แอมเฟตามีน) ไอซ์ ยาอี 40.5% ยาเสพติดประเภทกดประสาท ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน 8.9% และยาเสพติดประเภทหลอนประสาท เช่น แอลเอสดี (LSD) เห็ดขี้ควาย สารระเหย 5.5%
“ผลการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่า เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ ที่เริ่มสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ตั้งแต่อายุยังน้อย จะสามารถเปลี่ยนมาเป็นทั้งผู้เสพและผู้ขายยาเสพติดได้ในอนาคต ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ดังนั้นการที่จะปราบปรามยาเสพติดได้อย่างเด็ดขาด ต้องแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทาง คือการปกป้องเด็กและเยาวชนไทยจากการเข้าถึงบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าด้วย จึงจะเป็นผลดีที่สุด ทั้งนี้ขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไปเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยคุกคามทางสุขภาพ” นายพชรพรรษ์ กล่าว