เวลาเปลี่ยน สถานะเปลี่ยน คนเปลี่ยน พรรคเปลี่ยน
สมหมาย ปาริจฉัตต์ March 20, 2025 01:01 PM

เวลาเปลี่ยน สถานะเปลี่ยน
คนเปลี่ยน พรรคเปลี่ยน

พรรคประชาชน แกนนำพรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 จนถึงวันนี้ 20 มีนาคม เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน สภาผู้แทนราษฎรยังหาข้อยุติไม่ได้ว่าการอภิปรายจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ วันไหน

ต้นเหตุแรกเพราะปรากฏชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในตัวญัตติ ทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร วินิจฉัยว่าขัดข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จึงขอให้เอาชื่อนายทักษิณออก

เปิดวงพูดคุยเจรจากันแล้ว พรรคฝ่ายค้านยอมถอย เอาชื่อออก แต่ยังอุบไม่บอกว่าจะใช้คำว่าอะไรแทน ระหว่าง พ่อ สทร. สุดท้ายมาลงตัวด้วยวลีที่ว่า “บุคคลในครอบครัว”

ยื่นญัตติต่อประธานสภาแล้ว โดยไม่รอจนนาทีสุดท้าย จะตกลงเรื่องเวลาในการอภิปรายกันได้หรือไม่ ควรเป็นเท่าไหร่

ฝ่ายค้านขอ 30 ชั่วโมงเต็ม รัฐบาล 10 ชั่วโมง ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลยืนกรานให้ฝ่ายค้านได้แค่ 23 ชั่วโมง รัฐบาล 7 ชั่วโมง นัดประชุมหาข้อยุติกันเมื่อวาน วันที่ 19 มีนาคม

กำหนดการเดิมที่วางไว้ว่าการอภิปรายจะเกิดขึ้นวันที่ 24 มีนาคม เปิดได้หรือไม่ ก็แล้วแต่

สังคม ประชาชนคนกลางส่วนใหญ่ต้องการเห็นและฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแพทองธารเป็นครั้งแรก

การที่พรรคฝ่ายค้านยินยอมตัดชื่อนายทักษิณออกจากตัวญัตติ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนอกจากทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเดินหน้าต่อไปได้แล้ว

ทำให้ภาพฝ่ายค้านที่ถูกตำหนิ ว่าเอาแต่ใจ ดื้อรั้น ไม่ฟังใคร เล่นการเมืองแบบสุดโต่ง แข็งกร้าว ยึดความต้องการของตัวเองเป็นหลัก ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ถึงบทประนีประนอมก็สามารถยืดหยุ่นได้เช่นกัน

เรื่องเวลาในการอภิปราย จำนวนชั่วโมงซึ่งแตกต่างกันเพียง 7 ชั่วโมง จึงน่าจะเป็นประเด็นรอง ต่อรองถึงที่สุดแล้ว ฝ่ายรัฐบาลยืนกรานไม่ยอม ให้ได้แค่นั้น ก็ถอยอีกสักก้าว

เชื่อว่าฝ่ายค้านสามารถบริหารจัดการเวลา และตัวบุคคล กับเนื้อหาสาระข้อมูลในการอภิปรายได้

ความสด ความใหม่ ความลึก เฉียบคมของข้อเท็จจริงต่อกรณีกล่าวหาในการอภิปรายเป็นตัวชี้ขาด มีน้ำหนัก หนักแน่น น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน ยังรักษามาตรฐานที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่

ประสบการณ์การทำงาน ผ่านการอภิปรายมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล มาถึงประชาชน หลายกรณีพรรคฝ่ายค้านทำได้ดี มีผลงานชัดจนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง โค่นรัฐมนตรีลงจากตำแหน่งได้หลังจาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด

มาเที่ยวนี้จะหักโค่น นางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สำเร็จหรือไม่ก็ตาม สังคมควรจะได้ประโยชน์จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้มากที่สุด

การขบเขี้ยวกันไปมาระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านอยู่เป็นนาน ยิ่งเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าประชาชนก็แค่คนนอก ไม่ได้อยู่ในสมการการเมืองเท่าที่ควรอีกเช่นเคย

เพราะสัจธรรมคือ เวลาเปลี่ยน สถานะเปลี่ยน คนเปลี่ยน พรรคเปลี่ยน

เมื่อยามเป็นฝ่ายค้านก็มีท่าที ความคิด มองการอภิปรายไม่ไว้วางใจในเชิงบวก เป็นการทำหน้าที่กำกับ ตรวจสอบ ควบคุมฝ่ายบริหาร เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกันเปิดโอกาสให้สังคม ประชาชนได้รับรู้พฤติกรรมของฝ่ายบริหาร ซึ่งก็มีโอกาสได้ชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงโต้ตอบได้เช่นกัน

แต่พอขึ้นมาเป็นฝ่ายบริหาร ความคิด การกระทำกลับเปลี่ยนไป 360 องศา มองการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นความเลวร้าย การฉวยโอกาสของฝ่ายค้านที่มุ่งทำลาย ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลมากกว่า

เป็นเทศกาลใส่สีตีไข่ ปั้นน้ำเป็นตัว กล่าวเท็จ เอาเรื่องไม่จริงขึ้นมาโจมตี จึงต้องหาทางสกัดกั้น ทั้งก่อนและระหว่างอภิปราย

ประชาชนคนกลาง สังคมจึงต้องตัดสิน จะมองการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในเชิงบวกหรือลบ

ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการส่งเสริมความเข้มแข็งของระบบพรรค ตลอดจนตัวบุคคล ให้ทำงานอย่างมีคุณภาพ ด้วยข้อมูลยิ่งกว่าสำบัดสำนวนโวหาร น้ำท่วมทุ่ง

มาตรการประชาธิปไตย ไม่เพียงทดสอบคุณภาพของตัวบุคคลทั้งสองฝ่ายแล้ว ยังทดสอบความเข้มแข็ง คุณภาพของระบอบประชาธิปไตย มีความก้าวหน้า มีเสถียรภาพเพียงไร

ภายใต้หลักการ ปกป้องรักษาระบบยิ่งกว่าตัวบุคคล

แต่เชื่อเถอะครับ การเมืองเรื่องผลประโยชน์ ไม่ว่าพรรคไหน เพื่อใคร ก็แล้วแต่ ไม่มีใครอยากหลุดจากความเป็นรัฐมนตรี ไม่มีใครอยากตกงาน เพราะสภาถูกยุบ

ส่วนใหญ่จึงเลือกแนวทางทนทู่ซี้ ทุลักทุเลกันไปอย่างนี้ 4 ปีเลือกตั้งกันใหม่ ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าให้อำนาจนอกระบบ มาล้มกระดานแน่นอน

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.