ท่ามกลางกระแสบุหรี่ไฟฟ้าที่แพร่ระบาดอย่างมากในประเทศ จนลามเข้าไปถึงสถานศึกษา ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเยาวชน จนทำให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาสั่งการเด็ดขาดให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กระทรวงพาณิชย์ และกรมศุลกากร เร่งกวาดล้างอย่างเด็ดขาดภายใน 30 วัน ตั้งแต่การปิดกั้นร้านค้าออนไลน์ไปจนถึงการปราบปรามผู้นำเข้าและผู้ขาย
อย่างไรก็ตาม สังคมยังคงตั้งคำถามว่ามาตรการนี้จะทำให้บุหรี่ไฟฟ้าหมดไปจริงหรือ หรือเป็นเพียงการผลักตลาดเข้าสู่เงามืดกว่าเดิม เช่นเดียวกับธุรกิจสีเทาอื่น ๆ ที่ไม่เคยหมดไปจากประเทศ
แต่ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ดำเนินการศึกษาแนวทางควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างรอบคอบมาเป็นเวลา 1 ปีกว่า จนได้ข้อสรุปทางเลือกออกเป็น 3 แนวทาง และอยู่ระหว่างนำเสนอให้สภารับรอง พัฒนาการนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อสาธารณสุข ภาษีสรรพสามิต และวิถีชีวิตของประชาชนทุกคน
เลขานุการคณะกรรมมาธิการ นายแพทย์ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ เผยว่ารายงานที่จะนำเข้าหารือในการประชุมสภานั้น ไม่ได้มีข้อสรุปหรือมติอย่างหนึ่งอย่างใด เพียงแต่เป็นการนำเสนอทางออกของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นสามแนวทางด้วยกันเพื่อให้สมาชิกร่วมกันพิจารณาและส่งต่อให้คณะรัฐมนตรีต่อไป
3 ทางออกของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย
ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีของการประชุมคณะกรรมาธิการที่ผ่านมา นักวิชาการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตัวแทนหน่วยงานราชการและผู้เกี่ยวข้อง ได้นำเสนอข้อมูล ข้อดี-ข้อเสีย ผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และรายได้รัฐ รวมไปถึงแนวทางควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในต่างประเทศ จนสามารถสรุปออกเป็น 3 แนวทางหลักที่มีความเป็นไปได้ ซึ่ง 3 แนวทางนั้นประกอบไปด้วย
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาในแง่มุมของผลประโยชน์ด้านอื่นที่ประเทศจะได้รับเช่น การจัดเก็บภาษี การลดการจำกัดสิทธินักท่องเที่ยว และผลกระทบด้านอื่นแล้วเราจะพบว่า
แนวทางที่ 1 มีประโยชน์ในแง่ของการปิดช่องโหว่ทางกฎหมายที่มีความไม่ชัดเจน ให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชนเป็นหลัก แม้ไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับภาครัฐ แต่ก็เชื่อว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายภาระด้านสุขภาพ เร่งให้ผู้สูบเข้าสู่กระบวนการเลิกบุหรี่ ลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในครัวเรือน ไม่เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์และขยะพิษในระยะยาว
แนวทางที่ 2 รัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้ ลดการจำกัดสิทธินักท่องเที่ยว เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบให้ยังคงมีรายได้ ในทางสาธารณสุขแม้จะมีการรณรงค์เลิกสูบบุหรี่ แต่ประชาชนจำนวนมากก็ยังเลือกสูบบุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นช่วงการเลิกบุหรี่ ผู้ที่ไม่สามารถเลิกได้ และไม่ต้องการเลิกบุหรี่ ให้พวกเขาได้มีทางเลือกการสูบบุหรี่ ที่มีอันตรายน้อยกว่า แต่อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่มีความปลอดภัย
แนวทางที่ 3 เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย เป็นทางเลือกแก่ผู้สูบ รัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้ ลดการจำกัดสิทธิของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ลดการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดจากการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า
เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบอย่างครบด้วน ชั่งน้ำหนักถึงผลได้-ผลเสียแล้วต่อภาพรวมของประเทศแล้ว แนวทางที่ 3 จึงได้รับเสียงสนับสนุนจาก กมธ. มากที่สุด 21 จากทั้งหมด 35 ราย ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ คือประเด็นสำคัญที่สภาผู้แทนราษฎรต้องนำมาพิจารณาให้ดี เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมที่สุดให้กับประเทศไทย ทุกวันนี้ บุหรี่ไฟฟ้าถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกฎหมายแต่เราก็เห็นผู้ใช้เป็นประจำทั้งคนไทยและต่างชาติ ที่น่าเศร้าที่สุดคือเยาวชนที่การเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าเป็นไปอย่างง่ายดาย และด้วยการที่ปราศจากการควบคุมอย่างจริงจัง บุหรี่ไฟฟ้าเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้มาตรฐานและทำร้ายสุขภาพผู้ใช้จากสารเคมีที่ไม่ได้ผ่านการรับรอง
ประเทศไทยมีความเข้มแข็งในด้านการป้องปรามการสูบบุหรี่จนเป็นที่ประจักษ์และชื่นชมขององค์การระดับโลก การใช้บรรทัดฐานเดียวกันและมาตรฐานเข้มแข็งระดับเดียวกันกับที่ใช้ในบุหรี่มวนเพื่อจัดการกับบุหรี่ไฟฟ้า เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยและมั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องเร่งด่วนที่สุดคือปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชน การจัดการด้านความปลอดภัยในท่าอากาศยานอย่างเป็นมาตรฐานและสากล การปกป้องสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ด้วยการประกาศเขตห้ามสูบบุหรี่เช่นเดียวกับบุหรี่มวน ฯลฯ
ในทางตรงกันข้าม การห้ามมิให้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิด อาจเท่ากับการช่วยส่งเสริมเงามืดของสินค้าผิดกฎหมายให้ยิ่งเติบโตมากยิ่งขึ้น อาทิ การเผชิญปัญหาการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนที่ไร้คุณภาพ การลักลอบขายสินค้า การทุจริตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสูญเสียโอกาสในการควบคุมที่มีประสิทธิภาพดั่งที่ทุกคนประจักษ์แล้วในการควบคุมบุหรี่มวน ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ผู้สูบบุหรี่ทุกคนที่อยากจะเลิกบุหรี่ การปิดกั้นบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิดเท่ากับรัฐบาลลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิตของประชาชนกว่า 1 ล้านคน ไม่ให้พวกเขามีทางเลือกในการสูบบุหรี่แบบอื่นนอกจากบุหรี่มวนได้เพียงอย่างเดียว
เมื่อมีความต้องการก็ย่อมมีผู้ลักลอบนำสินค้าเข้ามาขายเสมอ ทำให้ภาครัฐเสียโอกาสในการจัดการกับมาตรฐานของผลิตภัณฑ์รวมทั้งเสียโอกาสทางด้านภาษีซึ่งเม็ดเงินจะตกไปอยู่กับผู้ขายของผิดกฎหมายอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ยังไม่นับรวมโอกาสของชาวไร่ยาสูบที่จะมีรายได้จากการขายใบยาสูบเพิ่มขึ้น ยังไม่นับรวมถึงมิติของการท่องเที่ยวที่เราคงต้องยอมรับว่านักเดินทางส่วนหนึ่งเป็นผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า มาตรฐานที่ลักลั่นก็สร้างความสับสนให้กับนักท่องเที่ยวได้ไม่มากก็น้อย
ทั้งที่ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้ามีการแบนในประเทศไทยมากว่า 10 ปี แต่ทุกครั้งที่มีการทบทวนนโยบายเรื่องนี้เราก็จะเห็น ดราม่าเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าปรากฎขึ้นเป็นรายวัน มีทั้งผู้คัดค้านและผู้เห็นด้วย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการปราบปราบขนานใหญ่ แต่เหตุไฉนยังคงมีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเกลื่อนเมืองได้ขนาดนี้ และประเทศไทยก็ยังอยู่ในวังวนของปัญหาเดิมๆ จับ ปรับ ปราบ เมื่อปัญหาและดราม่าซาไป คนซื้อคนขายก็กลับมาเหมือนเดิม เมื่อมีการทบทวนใหม่ก็กลับมาจับ ปราบกันอีกครั้ง การแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทยจึงยังวนลูปอยู่ที่เดิม
ลิงก์ที่มาข้อมูล
https://digital.car.chula.ac.th/cgi/viewcontent.cgi?article=7988&context=chulaetd
https://www.cdph.ca.gov/Programs/CCDPHP/DCDIC/CTCB/CDPH%20Document%20Library/Community/EducationalMaterials/Heated%20Tobacco%20Facts.pdf
https://www.youtube.com/watch?v=g2IQalrBZpA&t=10s
https://pis.parliament.go.th/PARWeb/doc/meeting-agenda/MeetingAgendaDetailForQRCode?meetingId=pZz1kfNtZZDQ_N5KG0k&openExternalBrowser=1