ราคาทองคำโลกร้อนแรงทำนิวไฮ 3,051 ดอลลาร์ จากต้นปีผลตอบแทนพุ่ง 16% กังวลสงครามการค้าแรงขึ้น-เสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ส่งผลนักลงทุนแห่ขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นโยกมาลงทุนทอง YLG เผยกองทุนทอง SPDR ต้นปีเข้าซื้อทองเพิ่มกว่า 100 ตัน ขณะที่นักลงทุนไทยแห่เปิดบัญชีเทรดทองพุ่ง 1,000-2,500 คน/วัน “ฮั่วเซ่งเฮง” ชี้หากสหรัฐเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหนุนทองพุ่งขึ้นแตะ 3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มีลุ้นทองไทยแตะ 52,000 บาท
ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่น่าจับตามองในปีนี้ ภายหลังราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) มาได้อย่างต่อเนื่อง โดยราคา Gold Spot ทำจุดสูงสุดได้ที่ 3,057 ดอลลาร์ จากต้นปีราคาที่ 2,624.50 ดอลลาร์ ปรับขึ้นแล้วกว่า 400 ดอลลาร์ ขณะที่ ราคาทองคำแท่งขายออกทำจุดสูงสุดได้ที่ 48,600 บาท จากต้นปีที่ราคา 42,450 บาท เพิ่มขึ้น 6,150 บาท ซึ่งเพียงไตรมาสแรก ราคา Gold Spot ให้ผลตอบแทนแล้วกว่า 16% ขณะที่ทองคำในประเทศผลตอบแทนกว่า 14 %
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาภาพตลาดการลงทุนค่อนข้างผันผวน หลังนโยบายกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ
ที่เริ่มเดินหน้าทำสงครามการค้าโลกกับแต่ละประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลและได้ทยอยขายสินทรัพย์เสี่ยง และเข้ามาถือทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ทองปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
“จะเห็นว่าตลาดหุ้นตกลงค่อนข้างแรง และทองคำก็ดีดขึ้นมาค่อนข้างสูงมาก ซึ่งโดยปกติทองจะไม่วิ่งขึ้นได้แรงมากขนาดนี้ โดยแค่ไตรมาสแรกปีนี้ ทองคำทำผลตอบแทนได้สูงถึง 16% หรือราคาปรับขึ้นเกือบ 400 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าขึ้นค่อนข้างสูงมาก”
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะหนุนราคาทองคำ อย่างธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มมาซื้อทองคำมากขึ้น โดยอาจจะมีความกังวลค่าเงินดอลลาร์เสื่อมถอยลง ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำถึง 1,000 ตัน/ปี
รวมถึงยังมีโอกาสที่สหรัฐจะเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ซึ่งในหลายค่ายธนาคารใหญ่ ๆ ก็ได้ออกมาทำการวิเคราะห์ โดยส่วนใหญ่ 20% มองว่าโอกาสที่จะเกิด Recession มีค่อนข้างสูง อย่างบลูมเบิร์กให้ 50% ที่จะเกิด Recession ภายใน 1 ปี
ซีอีโอ YLG กล่าวว่า ปัจจุบันดีมานด์ลงทุนทองค่อนข้างแข็งแกร่ง นักลงทุนที่ซื้อส่วนใหญ่จะอยู่แถบเอเชีย ขณะที่กองทุน SPDR Gold Trust กองทุนทองรายใหญ่ จากที่ทยอยขายมาในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าปีนี้ถึงปัจจุบัน กองทุน SPDR เข้ามาซื้อสูงกว่า 100 ตัน ซึ่งจะมีทั้งนักลงทุนรายย่อย และผู้จัดการกองทุนสะท้อนว่าฝั่งผู้จัดการกองทุนก็ได้เข้าซื้อทองคำมากยิ่งขึ้น
“สำหรับภาพการลงทุนในปัจจุบันเป็นไซด์เวย์อัพ ให้กรอบแนวต้าน 3,060-3,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้านถัดไปที่ 3,100-3,150 ดอลลาร์ เป็นจุดที่ขายทำกำไรได้ ขณะที่นักลงทุนอยากเข้าซื้อ ให้มองแนวรับ 3,045-3025 ดอลลาร์ และหากราคาย่อถึง 3,000 ดอลลาร์ จะเป็นแนวรับใหญ่ เพราะเป็นจุดที่ใช้เวลาค่อนข้างนานที่จะปรับขึ้นไปทะลุได้ ดังนั้นการที่ราคาทองคำจะหลุดแนวรับ 3,000 ดอลลาร์ อาจจะเป็นไปได้ค่อนข้างยาก”
ส่วนราคาทองจะปรับขึ้นได้สูงมากน้อยแค่ไหน ยังขึ้นอยู่กับนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะมีความชัดเจนมากน้อยแค่ไหน เช่น นโยบายภาษีที่เหมือนจะขึ้นภาษี แต่ยังไม่ได้ขึ้น เหมือนนำมาเป็นเครื่องมือในการต่อรองมากกว่า ดังนั้นหากนโยบายปรับขึ้นภาษีระหว่างประเทศหายไปอาจจะเป็นปัจจัยทำให้ทองคำด้อยความน่าสนใจลงได้
“ทรัมป์มี 2 นโยบาย คือ นโยบายภาษี และนโยบายเรื่องสงคราม แม้จะเคยประกาศว่าหากขึ้นเป็นประธานาธิบดีจะไม่เกิดสงคราม ก็ยังมีเกิดขึ้น แต่เป็นเพียงกองเล็กไม่ได้เป็นประเทศหลัก จึงไม่ได้ลุกลามไกลมาก แต่ก็ทำให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจและมาถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น”
นางพวรรณ์กล่าวว่า หากธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เดินหน้าซื้อทองคำต่อเนื่อง นักลงทุนทั่วไปทยอยมาสะสมทองคำเพราะไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจและกังวลสภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างเป็นตัวตอบโจทย์ให้ราคาทองปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง
โดยตั้งเป้าหมายราคาทองคำปีนี้ไว้ที่ 3,100-3,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และหากทะลุขึ้นไปได้จะอยู่ที่ 3,250 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศยังคงต้องติดตามค่าเงินบาทว่าจะอ่อนค่าลงได้หรือไม่ หากเทียบค่าเงินบาทปัจจุบัน กับราคาทองโลกที่บริเวณประมาณ 3,100 ดอลลาร์ จะเห็นราคาทองคำอยู่ที่บริเวณ 48,000 บาท ซึ่งยังขึ้นไปไม่ถึง 50,000 บาท หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงก็มีโอกาสที่ทองคำในประเทศจะไปต่อได้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YLG กล่าวต่อว่า จากภาวะที่ราคาทองปรับตัวขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ตลาดทองคำจึงคึกคัก ทำให้มีการเปิดบัญชีลงทุนทองและสนใจในสินทรัพย์ทองคำมากขึ้น อย่าง Gold Wallet ในแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง เดิมมียอดเปิดบัญชี 100-500 คน/วัน
ปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นสูงถึง 1,000-2,500 คน/วัน และส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายเล็ก ซึ่งจะมีทั้งที่เป็นลูกค้าออมทองและเทรดทองคำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการเทรดมากกว่า ขณะที่แอปพลิเคชั่น Get Gold ปัจจุบันมียอดเปิดบัญชีเพิ่มขึ้นเกือบ 100% จากเมื่อก่อน
ด้านนางศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ปรับเพิ่มขึ้นแรงในปีนี้ สาเหตุหลักมาจากสงครามการค้าโลกที่รุนแรงขึ้นจากนโยบายทรัมป์เรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่นำเข้าสู่สหรัฐ ในอัตรา 25% ตั้งแต่เดือน ก.พ. และเตรียมใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
สิ่งที่ตามมาคือนักลงทุนเรื่องกังวลว่า สหรัฐจะเกิด Recession ทำให้นักลงทุนอาจเทขายตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ และมีเม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าทองคำ จึงทำให้ทองคำ All Time High ต่อเนื่องเกือบทุกวัน ซึ่งหากสหรัฐเกิด Recession จะเป็นผลบวกกับราคาทองคำ จากสถิติที่เกิด Recession รวม 7 ครั้ง เฉลี่ยทองคำเพิ่มขึ้นได้ 28%
“เราประเมินราคาทองคำปีนี้ไว้ที่ 3,100 ดอลลาร์ แต่หากกรณีสหรัฐเกิด Recession จริง อาจจะขึ้นไปได้สุดถึง 3,360 ดอลลาร์ โดยอาจจะเห็นได้ปลายปีนี้ หรือไตรมาส 1 ของปีหน้า ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทองโลกปรับขึ้นแล้ว 16% ขณะที่ทองคำในประเทศเพิ่มขึ้น 14.5% ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน”
อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสที่จะมีแรงเทขายทำกำไร และทำให้ราคาทองอาจหลุด 3,000 ดอลลาร์ เพียงแต่ในระยะสั้นโมเมนตัมยังเป็นบวกอยู่ แต่อาจมีการปรับฐานลงมาได้ โดยมองแนวรับระยะสั้นที่ 3,020 ดอลลาร์ แนวรับถัดไปที่ 3,000-2,950 ดอลลาร์ ส่วนแนวต้านมอง 3,060-3,100 ดอลลาร์ เป็นจุดที่ทยอยขายทำกำไรระยะสั้น
ขณะที่ราคาทองคำในประเทศปีนี้ประเมินว่าอยู่ที่ 49,000 บาท ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.5 บาท/ดอลลาร์ และหากราคาทองขึ้นได้ถึง 3,360 ดอลลาร์ ราคาทองคำในประเทศจะอยู่ที่ 52,000 บาท ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์ โดยประเมินว่าปีนี้น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมาที่บริเวณ 34.25 บาท/ดอลลาร์ อาจจะแข็งค่าขึ้นได้ประมาณ 50 สตางค์ ซึ่งหากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ก็อาจจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้
นางศิริลักษณ์ กล่าวต่อว่า จากราคาทองคำที่ปรับเพิ่มขึ้นมาสูงต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนเริ่มมีการเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชัน GOLD NOW ของ ฮั่วเซ่งเฮงเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่นักลงทุนที่เปิดบัญชีไว้ แต่ไม่ได้มีการเทรด ก็เริ่มเห็นว่ามีการเคลื่อนไหวหรือทำการซื้อ-ขายที่มากขึ้น
นอกจากนี้ลูกค้าในส่วนของหน้าร้านก็มีเข้ามากันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมีการเข้ามาซื้อมากกว่าขาย เนื่องจากนักลงทุนยังเชื่อว่าราคาทองยังปรับขึ้นต่อได้