วงดนตรีปี่มวยเอกลักษณ์มวยไทยที่สนามมวยราชดำเนิน
สนามมวยราชดำเนินซึ่งเป็นสังเวียนการชกที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดในโลกก้าวเข้าสู่ปีที่ 80 และภายใต้การบริหารของกรรมการราชดำเนินชุดใหม่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การเกิดขึ้นของศึก RWS-Rajadamnern World Series รวมไปถึงการชิงเข็มชัดแชมป์ราชดำเนินอย่าง RAJADAMNERN STADIUM CHAMPIONSHIP SUPERFIGHT รวมไปถึงมีการจัดมวยไทยชกทุกวันในสัปดาห์ทำให้ตัวเลขผู้ชมเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
การเปิดตัว Immersive Muay Thai เทคโนโลยีการฉายภาพเสมือนจริงบนโดมคอนกรีตเหนือเวทีถือว่าเป็นสีสันใหม่ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนมวยชาวไทยและต่างประเทศเป็นอย่างมาก และจุดแข็งสำคัญของเวทีมวยราชดำเนินก็คือยังมีการจัดชกมวยไทยทั้ง 3 ยกและ 5 ยก โดยยังคงศิลปะการชกแบบมวยไทยดั้งเดิมอันครบถ้วนไม่ว่าจะหมัด เท้า เข่า ศอก
เอกลักษณ์อันโดดเด่นที่สนามมวยราชดำเนินหรือ “บ้านของมวยไทย” ยังคงรักษาไว้อย่างเหนียวแน่น และมีเสน่ห์ดึงดูดแฟนมวยจากทั่วโลกก็คือเครื่องดนตรีประกอบระหว่างการชกหรือที่เรียกว่า วงปี่พาทย์มวยไทย (Muay Thai Orchestra) หรือบางทีก็เรียกว่า “วงดนตรีปี่มวย”
เครื่องดนตรีที่ใช้มาบรรเลงประกอบการแข่งขันชกมวยไทย มีชื่อเรียกกันว่า “วงปี่กลอง” ซึ่งประกอบไปด้วย นักดนตรีที่ร่วมกันบรรเลงจำนวน 4 คน ส่วนเครื่องดนตรีประกอบด้วย ปี่ชวา 1 เลา กลองแขก 2 ใบ และฉิ่ง 1 คู่ โดยรายละเอียดของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมีดังนี้
ปี่ชวา
ปี่ชวา มีลักษณะเป็น 2 ท่อนเหมือนปี่ไฉนของอินเดีย กล่าวคือ ท่อนเลาปี่ ยาวราว 27 ซ.ม. ท่อนลำโพงยาวราว 14 ซ.ม. เจาะรูนิ้ว รูปร่างลักษณะเหมือนปี่ไฉนทุกอย่างแต่มีขนาดยาวกว่า เมื่อปี่ชวาถูกสวมท่อนลำโพงและเลาปี่เข้าด้วยกันแล้ว จะมีความยาวประมาณ 38-39 ซ.ม. ตรงปากลำโพงจะกว้างขนาดเดียวกับปี่ไฉน ทำด้วยไม้จริงหรืองา ส่วนที่ทำต่างจากปี่ไฉนก็คือ ตอนบนที่ใส่ลิ้นปี่ทำให้บานออกเล็กน้อย ลักษณะของลิ้นปี่เหมือนลิ้นปี่ไฉน ต่างแต่ว่ามีขนาดยาวกว่าเล็กน้อย เสียงของปี่ชวามีความแตกต่างกับปี่ไฉนเล็กน้อย
กลองแขก
กลองแขก มีรูปร่างยาวเป็นกระบอก หน้าหนึ่งใหญ่ เรียกว่า “หน้ารุ่ย” กว้างประมาณ 20 ซม. อีกหน้าหน้าเล็กเรียกว่า “หน้าด่าน” กว้างประมาณ 17 ซม. หุ่นกลองยาวประมาณ 57 ซม. ทำด้วยไม้จริงหรือไม้แก่น เช่น ไม้ชิงชัน หรือ ไม้มะริด ขึ้นหนัง 2 หน้าด้วยหนังลูกวัวหรือหนังแพะ ใช้เส้นหวายผ่าซีกเป็นสายโยงเร่งเสียง โยงเส้นห่างๆ แต่ต่อมาในระยะหลังเนื่องจากหาหวายใช้ไม่สะดวก บางคราวจึงใช้สายหนังโยงก็มี สำรับหนึ่งมี 2 ลูก ลูกเสียงสูง เรียกว่า “ตัวผู้” ลูกเสียงต่ำเรียกว่า “ตัวเมีย” ตีด้วยฝ่ามือทั้งสองหน้าให้เสียงสอดสลับกันทั้งสองลูก
ฉิ่ง
ฉิ่งเป็นเครื่องดนตรีทำด้วยโลหะ หล่อหนา เว้ากลางปากผายกลม รูปคล้ายถ้วยชาไม่มีก้น สำหรับหนึ่งมี 2 ฝา แต่ละฝาวัดผ่านศูนย์กลางจากสุดขอบข้างหนึ่งไปสุดขอบอีกข้างหนึ่งประมาณ 6-6.5 ซม. เจาะรูตรงกลางสำหรับร้อยเชือก ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการถือตีกระทบกันให้เกิดเสียงเป็นจังหวะ
การบรรเลงดนตรีประกอบ “มวยไทย” นั้น จะประกอบด้วยเพลงสามตอน คือ ตอนที่หนึ่ง บรรเลงเพลงโหมโรง ตอนที่สอง บรรเลงเพลงสะระหม่า ตอนที่สาม บรรเลงเพลงแปลง ในการไหว้ครูนั้น นิยมบรรเลงเพลงสองชั้น เช่น เพลงมอญรำดาบ สำหรับเพลงสะระหม่านั้น นับว่าเป็นเพลงเฉพาะของปี่เลยทีเดียว
มีบันทึกไว้ว่า ในสมัยสนามมวยสวนกุหลาบ พระยานนทิเสนสุรภักดี แม่กองเสือป่า เป็นผู้นำเป่าปี่ โดยมีลูกน้องในคณะตีกลองแขกและฉิ่ง และในการแข่งขันชกมวยระหว่างคู่ของนายทับ จำเกาะ กับ นายประสิทธิ์ บุญยารมณ์ และในการแข่งขันชกมวยคู่ประวัติศาสตร์ระหว่าง นายยัง หาญทะเล กับ จี๊ฉ่าง นักมวยจีนนั้น มีวงปี่กลองของหมื่นสมัครเสียงประจิต รับหน้าที่บรรเลงเพลง
วงดนตรีปี่มวยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ “มวยไทย” ที่ยังคงความขลังและยังช่วยควบคุมจังหวะการต่อสู้ของนักมวยไทยจึงสามารถหาชมได้อย่างมีอรรถรสดั้งเดิมก็ต้องเวทีราชดำเนิน