ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังเติบโต เห็นได้จากข้อมูลของ CoinGecko แอปพลิเคชั่นติดตามราคาคริปโตเคอร์เรนซีที่ระบุว่า ในปี 2566 มูลค่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ที่ 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ และขยับเพิ่มขึ้นเป็น 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2567 เติบโต 140,000% จากปัจจัยหนุนหลายอย่าง เช่น การที่ ก.ล.ต.สหรัฐ ประกาศอนุมัติกองทุน Bitcoin ETF และ Ethereum ETF ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น
นอกจากนี้ สินทรัพย์ดิจิทัลยังเป็นตัวเลือกการลงทุนที่หลายคนให้ความสนใจ และมองเป็นอีกทางเลือกในการสั่งสมความมั่งคั่งของตนเอง แต่ด้วยความผันผวนของราคาที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับข่าวการหลอกลวงของมิจฉาชีพที่มีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวน “ผู้กล้า” ที่เข้าสู่สนามการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ยังมีไม่มากนัก
ความต้องการที่ซ่อนอยู่ได้กลายมาเป็นโอกาสทางธุรกิจในการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ช่วยให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้สะดวกขึ้น
ล่าสุด “ยูนิต้า แคปิทัล” บริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของ “ธนาคารกสิกรไทย” เปิดตัว “ออร์บิกซ์ อินเวสท์” (orbix INVEST) ผู้ให้บริการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านกลยุทธ์จัดการเงินทุน โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญบริหารเงินลงทุน คัดกรองสินทรัพย์ และจัดการความเสี่ยงตามนโยบายการลงทุน ผ่านแอปพลิเคชั่น “orbix INVEST” รวมถึงมีทีมสนับสนุนการให้บริการตลอดการลงทุน
ดร.ธนภูมิ ดำรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์บิกซ์ อินเวสท์ จำกัด มองว่า ออร์บิกซ์ อินเวสท์ จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการของนักลงทุนรายย่อย ที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก โดยปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่า 4 ล้านราย ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่ม “เทรดเดอร์” ลงทุนระยะสั้น จับจังหวะการซื้อขายเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด
“จากจำนวนนักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ในปัจจุบันเชื่อว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เราตั้งใจที่จะเข้าไปจับกลุ่มนักลงทุนที่เป็นสายลงทุนระยะยาว หรือกลุ่มที่ชอบลงทุนในหุ้นต่างประเทศอยู่แล้ว ให้เข้ามาลงทุนกับออร์บิกซ์ อินเวสท์ ผ่านการสื่อสารในช่องทางต่าง ๆ และจัดอีเวนต์ให้ความรู้กับนักลงทุน ตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้จะมีฐานลูกค้า 2,500 คน และเพิ่มเป็น 5,000 คน กับ 7,500 คน ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ”
ดร.ธนภูมิกล่าวต่อว่า สิ่งที่นักลงทุนกลุ่มเป้าหมายให้ความสำคัญ คือความรู้ในสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะลงทุน และการลงทุนกับผู้ให้บริการที่มีความน่าเชื่อถือ บริษัทจึงยึดหลักการในการให้บริการ 3 ด้าน คือ 1.ความน่าเชื่อถือ โดยได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลัง ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา และเลือกให้ “Coinbase” ผู้ให้บริการที่มีมาตรฐานสากล เป็นผู้รับฝากทรัพย์สิน (Custodrian)
2.ความเชี่ยวชาญ ด้วยทีมผู้จัดการเงินทุนที่เรียกว่า “Kryptonian Strategist” 5 คน ที่มีประสบการณ์บริหารเงินลงทุนทั้งสินทรัพย์พื้นฐาน และสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 20 ปี ช่วยให้คิดกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย และตอบโจทย์ความต้องการผู้ลงทุน
และ 3.ความพึงพอใจของผู้ลงทุน มีทีมช่วยเหลือและให้ความรู้คอยตอบคำถามและแนะนำการใช้บริการแก่นักลงทุน
ในช่วงเริ่มต้นของการให้บริการ ออร์บิกซ์ อินเวสท์ นำร่องธีมการลงทุน 4 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.Orbix BTC Flagship (OBX-BTC) ลงทุนในบิทคอยน์ (Bitcoin) 98% ถือเงินสด 2% 2.Orbix ETH Evolution (OBX-ETH) ลงทุนในอีเธอเรียม (Ethereum) 98% ถือเงินสด 2%
3.Orbix Ultimate 10 (OBX-U10) ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลขนาดใหญ่ มีปัจจัยพื้นฐานดี ตามกรอบการลงทุน (Investment Framework) โดยใช้ปัจจัยในเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณเพื่อคัดเลือก 10 สินทรัพย์ มีสัดส่วนการลงทุนตามมูลค่าตลาด และ 4.Orbix Large-Cap Value Select (OBX-LVS) ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท Large-cap ไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าลงทุนสุทธิ และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้น ด้วยการปรับเปลี่ยนสัดส่วนตามเทรนด์ของตลาด
สำหรับค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ (Management Fee) กลยุทธ์ที่ 1 และ 2 อยู่ที่ 1.0% และ Front-end Fee 1.5% ส่วนกลยุทธ์ที่ 3 มีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ 1.5% Front-end Fee 1.5% กลยุทธ์ที่ 4 คิดค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ 2.0% Front-end Fee 1.5%
“จากการสำรวจในเบื้องต้น นักลงทุนค่อนข้างชื่นชอบกลยุทธ์ที่ 3 เพราะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ขนาดใหญ่ คล้าย ๆ การลงทุนในตลาดหุ้นที่มีดัชนีอ้างอิง”
ดร.ธนภูมิกล่าวด้วยว่า บริการของออร์บิกซ์ อินเวสท์ เป็นสิ่งใหม่มาก จึงต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ก่อนขอใบอนุญาตจนถึงช่วงที่ต้องให้บริการ ทั้งยังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการอีกรายที่ได้ใบอนุญาตมาก่อนอย่าง “เมอร์เคิล” (Merkle) เพื่อร่วมกันขยายตลาด ทำให้นักลงทุนรู้จักการลงทุนในลักษณะนี้มากขึ้น
การลงทุนแต่ละกลยุทธ์จะเริ่มต้นด้วยเงินขั้นต่ำ 5,000 บาท โดยเปิดบัญชีและยืนยันตัวตนได้ผ่านแอป K PLUS และคาดว่าปีนี้จะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ที่ 1,000 ล้านบาท ก่อนขยับเป็น 3,500 ล้านบาท และ 10,000 ล้านบาท ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ