สนธิญา ร้อง กกต. ตรวจสอบ “แพทองธาร-ณัฐพงษ์” แลกหมัดวันซักฟอกกล่าวหากัน มีคนนอกพรรคครอบงำ พร้อมยื่นอสส.ชงศาลรธน. ยุบพรรค
เมื่อเวลา 11.25 น. วันที่ 28 มีนาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ต่อ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อวันที่ 24-26 มี.ค.ที่ผ่านมา กรณีที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวหาฝ่ายค้านพรรคประชาชนถูกครอบงำด้วยบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่พ่อ ส่วนฝ่ายค้านอย่างนายนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ก็อภิปรายว่านายกฯถูกครอบงำ ชี้นำโดยคุณพ่อ ที่เป็นบุคคลไม่ได้อยู่ในพรรคการเมือง
นายสนธิญา กล่าวว่า เรื่องนี้มีคือนายกฯเป็นในนามของพรรคเพื่อไทย ซึ่งการที่นายณัฐพงษ์ กล่าวหาว่าคุณพ่อ ชี้นำ ครอบงำน.ส.แพทองธารนั้น คือการกระทำผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย(พ.ร.ป.)พรรคการเมือง มาตรา 28,29 และจะนำไปสู่มาตรา92 ยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมือง
ขณะเดียวกันน.ส.แพทองธารก็พูดกล่าวหานายณัฐพงษ์ ว่าพรรคประชาชนถูกครอบงำ โดยบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่คุณพ่อ ฉะนั้นทั้งสองฝ่ายนี้ที่อยู่ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ที่ถือว่าอยู่ฝ่ายสถาบันหลักของประเทศการจะพูดหรือทำสิ่งหนึ่งที่ใดก็ตามต้องเป็นไปต่มกระบวนการของกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ถ้าสมมุตนายกฯและหัวหน้าฝ่ายค้านพูดไม่จริงก็จะเข้าสู่มาตรา 101 คือกระทำผิดโทษจำคุก 5ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
วันนี้ตนมายื่นให้ กกต.ได้พิจารณาตรอบสอบว่าการกล่าวหากันของทั้งสองฝ่ายนี้เป็นการชี้กระทำผิดในเรื่องของกระบวนการพรรคการเมือง ในมาตรา 28 ,29 และตามมาตรา92 ถ้ามีมูลความจริงก็ต้องยุบ 2พรรค หรือถ้าไท่จริงก็ต้องถูกดำเนินคดีข้อหาให้การเป็นเท็จ ใส่ร้ายพรรคการเมือง หรือบุคคลอื่น ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 101
นายสนธิญา กล่าวว่า โดยคำพูดของนายกฯที่พูดชัดในที่ประชุมวันนั้นว่า ”ดิฉันถูกกล่าวหาว่าถูกครอบงำโดยคุณพ่อ ของท่านถูกครอบงำโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ “ส่วนนายณัฐพงษ์อภิปรายว่า “น.ส.แพทองธารให้บุคคลในครอบครัวชี้นำ ชักใย ครอบงำ” ดังนั้น ทั้งสองคนนี้มีการกล่าวหาซึ่งกันและกัน ซึ่งประเด็นนี้ที่ตนมายื่นได้อ้างถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา
ดังนั้น การครอบงำ ชี้นำ จองทั้งสองพรรคจึงเชื่อได้ว่ามีจริง เพราะการอภิปรายในวันนั้นคือการอภิปรายในรัฐสภาประชาชนรับฟังกันทั่วประเทศ ตนจึงหยิบเอาเรื่องนี้มาให้พิจารณาตรวจสอบและให้เรียกนายกฯและนายณัฐพงษ์ มาให้ข้อมูลในเรื่องนี้ อีกทั้งตนจะไปร้องต่ออัยการสูงสุด(อสส.)เพื่อส่งเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยต่อไป