เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้น-กลางสัปดาห์สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค (สกุลเงินเอเชียอื่นๆ อ่อนค่าลงสอดคล้องกับเงินหยวนและเงินเยน ขณะที่เงินรูเปียห์แตะระดับอ่อนค่าสุดนับตั้งแต่มิ.ย. 2541) ท่ามกลางแรงหนุนต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ฯ จากสัญญาณไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบจากสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน
29 มี.ค. 2568 – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เงินบาทฟื้นตัวขึ้นช่วงสั้น ๆ ระหว่างสัปดาห์ โดยมีอานิสงส์สำคัญจากการทะยานกลับมาทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ของราคาทองคำในตลาดโลก แต่กลับไปอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงท้ายสัปดาห์ตามแรงขายสุทธิหุ้นไทยของต่างชาติ (ประกอบกับตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายปิดการซื้อขาย หลังแผ่นดินไหวรุนแรง)
ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่ 28 มี.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 33.98 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (21 มี.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 24-28 มี.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 4,106.21 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,845 ล้านบาท (แบ่งเป็น ขายสุทธิพันธบัตร 1,701 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 144 ล้านบาท)
ขณะที่สัปดาห์ระหว่างวันที่ 31 มี.ค.-4 เม.ย. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.30-34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายละเอียดของการเรียกเก็บ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค. ของไทย
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM และ PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนมี.ค. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.พ. รวมถึงตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข้อมูลดัชนี PMI เดือนมี.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค. ของยูโรโซนด้วยเช่นกัน
ด้านดัชนีหุ้นไทยพลิกร่วงลงท้ายสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า ขณะที่ตลาดหุ้นปิดการซื้อขายในช่วงบ่ายของวันศุกร์หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบเกือบตลอดสัปดาห์ โดยในช่วงแรกตลาดหุ้นมีแรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่าสหรัฐฯ อาจบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้แบบเจาะจง ซึ่งช่วยคลายความกังวลบางส่วนต่อประเด็นสงครามการค้า ประกอบกับมีแรงซื้อหุ้นรายตัวเข้ามาหนุน โดยเฉพาะหุ้นบริษัทด้านพลังงานรายใหญ่แห่งหนึ่งและบริษัทค้าปลีกรายใหญ่แห่งหนึ่งที่ประกาศแผนซื้อคืนหุ้น รวมถึงหุ้นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่ง แต่กรอบการปรับขึ้นค่อนข้างจำกัด เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้า
อย่างไรก็ดี หลังปธน. สหรัฐฯ ประกาศเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตรา 25% โดยมีผลบังใช้ในวันที่ 2 เม.ย. นี้ ก็ส่งผลให้ตลาดกลับมากังวลว่าสงครามการค้าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดแรงเทขายเพื่อลดความเสี่ยง ทั้งนี้ปริมาณการซื้อขายในสัปดาห์นี้ค่อนข้างเบาบาง โดยเฉพาะวันศุกร์ ซึ่งเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ประกาศปิดการซื้อขายในช่วงบ่าย อนึ่ง สัปดาห์นี้หุ้นแบงก์ปรับตัวได้ต่อเนื่องสวนทางกับภาพรวมตลาด เนื่องจากมีแรงหนุนจากแรงซื้อก่อนจ่ายปันผลและประกาศงบไตรมาส 1/2568
ในวันศุกร์ที่ 28 มี.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,175.45 จุด ลดลง 0.94% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 25,147.89 ล้านบาท ลดลง 40.04% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 1.49% มาปิดที่ระดับ 242.90 จุด
สัปดาห์ถัดไป (31 มี.ค. – 4 เม.ย. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,165 และ 1,155 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,185 และ 1,200 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมี.ค. ของไทย ประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตและการบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงานเดือนมี.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนมี.ค. ของญี่ปุ่น จีน ยูโรโซน ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมี.ค. (เบื้องต้น) และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.พ. ของยูโรโซน ตลอดจนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. ของญี่ปุ่น