วันที่ 8 เม.ย.68 เพจเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว โพสต์ข้อความระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวว่ามีการกำชับให้พรรคร่วมรัฐบาล ให้เห็นชอบในวาระรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ หากไม่สนับสนุนจะขับออกจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยนายทักษิณกล่าวว่า พูดกันไปเรื่อย ไม่มีการพูดถึง แต่ยอมรับว่า มีคุยกับน้องๆ ที่เจอกัน ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเพียงการถามความคิดเห็น ไม่มีเรื่องข่มขู่ว่าใครไม่สนับสนุนแล้วต้องพ้นจากพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มี และที่ผ่านมามีการหารือทั่วไปกับพรรคร่วมรัฐบาล เป็นเพียงการถามความคิดเห็นของแต่ละคน ก็ไม่ได้ขัดข้อง วันนี้นายกรัฐมนตรีก็ได้บอกว่าจะพิจารณาเรื่องเร่งด่วนทางเศรษฐกิจก่อน คือเรื่องการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ต้องนำเรื่องนี้มาคุยกัน เพราะประชาชนอยากรู้เรื่องนี้ ความสำคัญต้องลดลงไป พร้อมกับระบุว่า ไม่ได้ยกเลิก เพียงแต่ขอเลื่อนการพิจารณาไปก่อน
ส่วนการที่มีพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ทำให้การร่างกฎหมายดังกล่าวยากหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า การมีพรรคร่วมฯ มาก ก็นานาจิตตัง เราไม่สามารถชี้ให้ไปทางเดียวกันได้ ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่ก็ไม่เหนือวิสัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็คุยกับพรรคร่วมรัฐบาลบ่อยๆ ก็น่าจะคุยกันรู้เรื่อง
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า มีการวางตัวผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจรไว้ล่วงหน้าแล้วนั้น นายทักษิณ ยืนยันว่าไม่มี ต้องมีการประมูลอย่างโปร่งใส มีกรรมการจากภายนอกวางไว้ จึงทำไม่ได้ ไม่มีใครสามารถจัดสรรได้นอกจากมีการประมูล
นายทักษิณย้ำว่าไม่มีคำว่า ‘กาสิโน’ มีแต่คำว่า ‘เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์’ กาสิโนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ในนั้น เพราะหลายอย่างที่เราอยากมีก็มีไม่ได้ ต้องให้เอกชนมาลงทุน เช่นฮอลล์ หรือ อารีน่า จัดคอนเสิร์ต หรือสวนสนุกขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาลงทุน เราต้องการการลงทุนและการจ้างงาน รวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น และต้องการภาษีอย่างถูกต้อง โครงการนี้เป็นการพัฒนาประเทศตามปกติ ไม่มีอะไรซ่อนเร้น
"อย่างว่า เราขี้อิจฉาริษยากัน มองคนนั้นคนนี้ได้ คนที่เห็นด้วยเยอะแต่เงียบ ที่ไม่เห็นด้วยแล้วออกมา บางครั้งถูกชี้นำในทางที่ผิด เช่นไปเปรียบเทียบกับบ่อนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตรงนั้นเป็นกาสิโนจริงๆ เพราะไม่มีเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์เลย เราไม่ได้ทำแบบนั้น ถ้าเราทำแบบนั้น ประเทศก็พัง"
นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า อย่าไปหวั่นไหว หากคิดว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง วันนี้รัฐบาลต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ
“ไม่ต้องอะไร บางพรรคเคยเห็นด้วย เมื่อก่อนเชียร์เต็มที่ มีนโยบายพรรค แต่วันนี้ไม่เห็นด้วยแล้ว คือจุดยืนไม่มี มีอย่างเดียวว่า เป็นฝ่ายค้านต้องค้าน เป็นฝ่ายรัฐบาลต้องเชียร์ แบบนี้ไม่ได้”
ส่วนจะต้องมีการทำความเข้าใจกับฝ่ายค้านด้วยหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า ต้องพูดกันด้วยเหตุผล นี่คือประชาธิปไตย ใครอยากจะค้านก็ค้าน แต่ในที่สุด ก็ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผล พร้อมยกตัวอย่าง สมัยก่อนเพื่อไทยแข็งแรงจะตาย แต่ถูกค้านเรื่องการซื้อลิเวอร์พูล ซึ่งวันนั้นลิเวอร์พูลถูกจะตาย วันนี้สู้(ราคา)ไม่ได้
เมื่อถามถึงตัวแปรหลักทั้ง พรรคภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว นายทักษิณ กล่าวว่า บางคนก็เห็นด้วยครึ่ง ไม่เห็นด้วยครึ่ง ไม่เป็นไร ถ้าเมื่อถึงเวลาที่ต้องเสนอกฎหมาย ก็ต้องเสนอ โหวตรัฐบาลก็ผ่าน เพียงแต่รัฐบาลไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล
ส่วนที่มีการวิเคราะห์ว่า พรรคเพื่อไทย มีการยื่นหมูยื่นแมวกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว นายทักษิณยืนยันว่า ไม่มีหมู ไม่มีแมว
เมื่อถามว่า การที่พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวล่าช้าจะทันกับอายุของรัฐบาลเพื่อไทยหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า เราก็วางไว้ ถ้าไม่ทันรัฐบาลหน้ามาทำต่อได้ ขั้นตอนกระบวนการเราก็คาดหวังว่า อาจจะไปช้าที่ชั้นสว.
ส่วนถ้ารัฐบาลหน้า ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย กฎหมายนี้จะถูกตีตกหรือไม่ นายทักษิณยืนยันอย่างมั่นใจว่า รัฐบาลหน้าก็พรรคเพื่อไทย ซึ่งในส่วนของ สว. หากไม่เห็นด้วย ก็มีเวลา 180 วัน (สภาผู้แทนฯ ยืนยัน)
เมื่อถามต่อว่า หากร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านแล้ว สว.จะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. จะต้องทำความเข้าใจกับ สว.หรือไม่ นายทักษิณ ระบุว่า
"วันนี้ปัญหามันเกิดขึ้นระหว่าง สว.กับกระทรวงยุติธรรม ก็เลยเป็นปฏิกิริยา เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้อง Action หรือ Reaction"
ส่วนมองว่าเป็นเกมการเมืองหรือไม่ นายทักษิณ ระบุว่า พวกนักการเมืองมันก็อยู่กับการเมืองทั้งนั้นแหละ อย่างไรก็หนีการเมืองไม่พ้น เราอยู่บนพื้นฐานการตั้งใจดีให้กับบ้านเมือง ไปแค่ไหนก็แค่นั้น ไปได้ก็คือไป ไปไม่ได้ก็คือไม่ไป
นายทักษิณกล่าวว่า หากประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าจะให้ไปได้ก็ไปได้ แต่เราก็อยากให้เป็นความพอใจและสมัครใจของทุกฝ่าย ไม่อยากฝืนความรู้สึก แน่นอนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ก็ต้องมีคนไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็ตั้งใจทำให้บ้านเมือง ไม่อยากเห็นบ่อนเล็กบ่อนน้อยเต็มไปหมด พร้อมยืนยันว่ามีระบบตรวจสอบคนที่จะเข้าไปเล่นผ่านระบบ การยืนยันตัวตนที่เพิ่มความปลอดภัยทางการเงิน หรือ KYC ต้องรู้ประวัติและที่มาของเงิน ถ้าไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ ก็ไม่ให้เข้า อย่างตนก็เข้าไม่ได้ เพราะเป็นนักการเมือง เขาก็จะไม่ให้เล่น ขณะเดียวกันหากมีเงินแล้วเข้าไปเล่นเป็นประจำ จนติดการพนัน ก็จะถูกนำไปบำบัด ไม่ใช่ปล่อยเลอะเทอะเหมือนในอดีตที่ไม่ดูแล มันเป็นระบบใหม่ อยากให้ทุกคนเข้าใจ
ขอบคุณ เพจเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว