‘ดวงฤทธิ์’ สัมภาษณ์เอง เปิดใจ จ้าวเสือใหญ่ ม.กรุงเทพธนบุรี เส้นทางสู่ยอดมวยไทย
เมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่สนามฝึกซ้อมมวย มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ได้เดินทางมาให้กำลังใจและชมการฝึกซ้อม พร้อมทั้งพูดคุยกับ จ้าวเสือใหญ่ ม.กรุงเทพธนบุรี นักมวยไทยชื่อดัง ซึ่งทาง ส.ส.ดวงฤทธิ์ เป็นพิธีกร สัมภาษณเองโดยตรง
โดย รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ได้เปิดเรื่องราวในชีวิตวัยเด็กคนหนึ่ง สู่จอมเข่าลอยระดับประเทศอย่าง “จ้าวเสือใหญ่ ม.กรุงเทพธนบุรี” นักมวยผู้ไม่เคยยอมแพ้ ซึ่งเริ่มต้นจากแค่ความสนุกในวัยเด็ก แต่ด้วยใจรักและความมุ่งมั่น ทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นนักมวยอาชีพที่มีรายได้หลักล้าน แม้จะมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่เคยทิ้งการเรียน เพราะเชื่อว่าความรู้คือพื้นฐานชีวิตหลังเลิกชก
รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ อดีตผู้จัดการทีมชาติมวยไทย กล่าวว่า จะมีกีฬากี่ประเภทที่คนทั่วโลกรู้จัก และจะมีกีฬาสักกี่ประเภทที่ทุกคนทั่วโลกให้ความชอบ ให้ความนิยม สนใจและที่สำคัญจะมีกีฬาสักกี่ประเภท “ที่มีชื่อประเทศในกีฬานั้น ๆ” ก็คือ “มวยไทย” ของเรานี่แหละ
จากนั้นได้ถาม จ้าวเสือใหญ่ ว่ารู้จักมวยไทยได้อย่างไร ซึ่ง เจ้าตัวตอบว่า “ผมรู้จักมวยไทยตั้งแต่เด็กครับ แค่เล่นกับเพื่อน ๆ ตามประสาเด็กทั่วไป เห็นทีมมวยซ้อมกันก็น่าสนใจ เลยชวนเพื่อนไปดู จนวันหนึ่งเทรนเนอร์ที่เห็นผมอยู่ประจำก็ชวนให้ลองเตะกระสอบทรายดู จากวันนั้นผมก็ไม่เคยหันหลังให้มวยอีกเลย”
จุดเริ่มต้นมาจากความสนุก จนกลายเป็นความรักที่หยั่งรากลึกในกีฬามวยไทย และมีแรงบันดาลใจที่สำคัญมาจากคุณพ่อ ผู้พาเขานั่งดูมวยช่อง 7 ทุกวันอาทิตย์
จุดเปลี่ยนชีวิตจากแค่ “เล่น” ไปสู่ “มืออาชีพ”
“ผมเริ่มชกมวยตอนอายุ 7 ขวบ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีรายได้ จนชกไปสักพัก เริ่มได้เงิน ซื้อข้าวเอง ซื้อของเอง ช่วยพ่อแม่ได้ ผมเลยเริ่มจริงจังมากขึ้น กลายเป็นเป้าหมายว่ ผมอยากเป็นแชมป์”
“ผมฝึกซ้อมอย่างหนัก มีช่วงเวลาที่ต้องลดน้ำหนักภายในไม่กี่ชั่วโมงก่อนชั่งน้ำหนัก บางวันวิ่งจนหมดแรงแต่น้ำหนักก็ยังเกิน แต่ผมไม่เคยยอมแพ้”
“ไม่ยอมแพ้” คือ คติประจำใจ !!!
“นักมวยระดับโลกหลายคนที่ผมเคยเจอ มีคำพูดเดียวกันคือ ไม่ยอมแพ้ ผมเองก็เคยเจอจุดที่ท้อเหมือนกัน ตอนเด็กเคยชั่งน้ำหนักไม่ผ่าน ถอดใจพักไป 4-5 เดือน แต่สุดท้ายก็คือคำว่า ‘ไม่ยอมแพ้’ นี่แหละที่พาผมกลับมา”
จากนักมวยธรรมดา เคยผ่านรายการดังอย่างมวยช่อง 7, ลุมพินี, ราชดำเนิน และฝันว่าจะได้ขึ้นเวทีรายการหนึ่ง
“ผมอยากชกกับรถถังมากครับ เขาเป็นระดับต้น ๆ ของประเทศ ถ้ามีโอกาส ผมพร้อมครับ”
“จ้าวเสือใหญ่” ยังย้ำด้วยว่า มวยไทย ไม่ใช่แค่กีฬา แต่มันคือศิลปะวัฒนธรรม เป็นอาชีพ เป็นรายได้ และเป็น “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่สร้างชื่อให้ประเทศไทย
แม้จะมีรายได้หลักล้านบาท แต่เขาไม่เคยทิ้งการเรียน “ปัจจุบัน จ้าวเสือใหญ่ เรียนอยู่ระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ซึ่งเขาบอกว่าต้องขอขอบคุณ ศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ที่ให้ทุนสนับสนุนในเรื่องการศึกษาของตนเอง
“เมื่อก่อนผมเคยคิดแค่ว่าได้เงินจากการชกมวยก็พอ แต่พอได้คิดว่าชีวิตมันไม่ใช่แค่ตอนนี้ ผมเลยตั้งใจเรียน เพราะการศึกษาจะเปิดโอกาสอีกหลายอย่าง เช่น การสื่อสารกับชาวต่างชาติ การวางแผนชีวิตหลังเลิกชก”
นอกจากนี้ ยอดนักมวยไทย ยังได้เผยเคล็ดลับสู่ความสำเร็จอีกว่า
“อยากเป็นนักมวยอาชีพ ต้องมี 3 อย่างครับ เป้าหมาย, ความมุ่งมั่น และไม่ยอมแพ้”
แม้ตอนนี้ยังอยู่บนสังเวียน แต่เขาเตรียมวางแผนชีวิตหลังมวยไว้แล้ว หนึ่งในความฝันคือ “อยากแสดงหนัง”
“กีฬาต่อสู้มีอายุของมันครับ เราไม่สามารถต่อยมวยไปจนเกษียณได้ ผมอยากทำอะไรที่ได้ใช้ประสบการณ์ ความสามารถ และความเป็นตัวตนของผมต่อไป”
“ไม่ยอมแพ้” คือคีย์เวิร์ดของแชมป์ทุกคน และจ้าวเสือใหญ่ ก็เชื่อว่าถ้าเรามีเป้าหมาย มีใจสู้ สักวันหนึ่ง เราจะเป็นแชมป์ได้เหมือนกัน และเชื่อว่าวันนี้เขาจะไม่หยุดฝัน แต่อยากพัฒนาตัวเองต่อไปทั้งในฐานะนักกีฬา และอนาคตในวงการบันเทิงเพราะว่ามวยไทยสำหรับเขา…ไม่ใช่แค่กีฬา แต่คือชีวิต ศิลปะ แรงบันดาลใจ