นักวิชาการ แนะเพิ่มจ่ายภาครัฐ-ลดดบ.-SML ช่วยประคองศก.
คาดเพิ่มใช้จ่ายภาครัฐบวกลดดอกเบี้ยประคองเศรษฐกิจได้ ไม่เบียดการลงทุนภาคเอกชน Crowding Out Effect ถ้าเพิ่มปริมาณเงินในระบบSML ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคชนบท เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพมากจากสงครามการค้า การลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ คือ คำตอบจะเกิด Crowding-in effect เสริมให้เอกชนขยายการลงทุนเพิ่มต้นทุนในการระดมทุนของรัฐและเอกชนในต่างประเทศยังไม่เพิ่มขึ้นแม้นมูดี้ส์ปรับลดแนวโน้มเป็นเชิงลบ แต่หุ้นกู้เอกชน อันดับ BBB อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น เตือนสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออื่นๆอาจปรับแนวโน้มเครดิตตาม
เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คาดการเพิ่มใช้จ่ายภาครัฐบวกการลดดอกเบี้ยช่วยประคองเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชนเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมากในสภาวะที่เศรษฐกิจมีสัญญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจนจากผลกระทบของสงครามทางการค้า
แนะธปท.ลดดอกเบี้นต่อเนื่องทั้งปีเพื่อเพิ่มเงินในระบบ
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ประสิทธิผลของมาตรการคลังการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยควรเพิ่มปริมาณเงินในระบบ ลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี การระดมทุนของภาครัฐเพื่อนำมาใช้จ่ายลงทุนจะได้ไม่ไปเบียดหรือลดการลงทุนภาคเอกชน (Crowding Out Effect) ไม่ทำให้ต้นทุนทางการเงินหรือดอกเบี้ยในตลาดการเงินปรับตัวสูงขึ้นจากการแย่งเม็ดเงินกันในระบบระหว่าง รัฐบาล และ เอกชน การออกพันธบัตรของกระทรวงการคลังขายให้นักลงทุนและประชาชน อาจทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการและการใช้จ่ายผ่านการกู้ยืมของภาคเอกชนลดลงได้ ผลกระทบของ Crowding Out Effect มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอุปทานและอุปสงค์ของเงินในระบบ และ ภาวะเศรษฐกิจภาวะการลงทุนโดยรวม การเพิ่มปริมาณเงินให้เหมาะสมและเพียงพอจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการเบียดเบียนหรือลดการลงทุนภาคเอกชนและไม่ทำให้ “เงินบาท” แข็งค่ามากเกินไป เร็วเกินไป
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า การเพิ่มปริมาณเงินในระบบและการลดดอกเบี้ยไม่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของการก่อหนี้เกินตัว ขณะที่ส่งผลบวกต่อการลดภาระต้นทุนทางการเงินของภาคครัวเรือนและธุรกิจ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่อเนื่องจะทำให้ลดเงินผ่อนชำระสินเชื่อบ้านและรถยนต์รายเดือนลง โดยเฉพาะจะส่งผลบวกต่อผู้กู้เงินอัตราดอกเบี้ยลอยตัวมากที่สุด ส่งผลดีต่อผู้กู้เงินสินเชื่อส่วนบุคคล ภาระทางการเงินที่ลดลงทำให้ความยากลำบากทางเศรษฐกิจของครัวเรือนจำนวนไม่น้อยที่อาจเผชิญภาวะรายได้ลดลง ถูกลดชั่วโมงการทำงาน หรือถูกเปลี่ยนสภาพการจ้างหรือถูกปลดออกจากงาน ส่วนภาคธุรกิจจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงมากที่สุดในกรณีเป็นเงินกู้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว การผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมพร้อมกับการเร่งการใช้จ่ายภาครัฐจะลดความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยที่อาจเจอภาวะเงินฝืดอ่อนๆได้ในช่วงปลายปีนี้
แนะไทยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่าศักยภาพมากจากสงครามการค้า การลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่จะเป็นฐานในการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ คือ คำตอบสำหรับการทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเต็มศักยภาพ การลงทุนโดยภาครัฐเหล่านี้จะเกิด Crowding-in effect เสริมให้เอกชนขยายการลงทุนเพิ่มอีกด้วย ต้นทุนในการระดมทุนของรัฐและเอกชนในต่างประเทศยังไม่เพิ่มขึ้นแม้นบริษัทจัดอันดับเครดิตมูดี้ส์จะปรับแนวโน้มเป็นเชิงลบก็ตาม เนื่องจากยังไม่มีการปรับลดอันดับเครดิต เป็นการปรับแนวโน้มจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” แต่หุ้นกู้เอกชน อันดับ BBB อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น เอกชนที่มีฐานะการเงินอ่อนแออาจระดมทุนขาย “หุ้นกู้” ได้ยากขึ้น
ชี้มูดีส์ปรับลดมุมมองเครดิตไทยครั้งนี้ต่างจากปี51
รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตลดลงเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในรอบหลายปี จึงเป็นสัญญาณเตือนสำคัญเรื่อง ฐานะทางการเงินการคลัง ของไทยที่อ่อนแอลงแม้นความสามารถในการชำระหนี้ของไทยยังค่อนข้างแข็งแกร่งก็ตาม การปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตครั้งนี้ต่างจากการปรับลดแนวโน้มครั้งล่าสุด 17 ปีที่แล้วเมื่อปี พ.ศ. 2551 คือ ครั้งที่แล้ว การปรับลดแนวโน้มเป็นผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินโลก Subprime Crisis ครั้งนี้เป็นผลกระทบจากสงครามการค้า แต่สิ่งที่ต่างกัน คือ ขณะนั้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่แค่ 35% แต่มีปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองรุนแรง ขณะนี้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 64% แต่ความเสี่ยงทางการเมืองน้อยกว่าปี 2551 เมื่อปี พ.ศ. 2551 ไทยได้ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ปีในการทำให้แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือกลับมาสู่ระดับ “มีเสถียรภาพ” หรือ Stable ได้ ต่อมาไทยได้รับการปรับแนวโน้มเป็นเชิงบวก หรือ Positive และ ถูกปรับลดลงจาก “เชิงบวก” มาเป็น “มีเสถียรภาพ” อีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2563
การสร้างฐานรายได้ใหม่ๆของภาครัฐนอกจากภาษีเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต หากเศรษฐกิจปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นในปีหน้า ก็สามารถทำงบประมาณขาดดุลลดลงได้ ก่อหนี้สาธารณะลดลงได้ ฐานะการเงินการคลังภาครัฐก็จะดีขึ้น ประเทศไทยน่าจะได้รับการปรับแนวโน้มให้กลับไปสู่ “มีเสถียรภาพ” และ “เชิงบวก” ได้ในอนาคต ส่วนการได้รับการปรับอันดับเครดิตให้สูงขึ้นอาจต้องใช้เวลาหลายปี ต้องทำให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตเต็มศักยภาพ และ ต้องมีการปฏิรูปการเงินการคลังภาครัฐอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการปฏิรูประบบภาษีและรายได้ภาครัฐ ส่วนการปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารไทย 7 แห่งเป็นลบนั้น เป็นปัญหาจากการเติบโตของสินเชื่อและปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ที่ด้อยลง มีความเป็นไปได้ที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออื่นๆอาจปรับแนวโน้มเครดิตตามมูดี้ส์ ปัจจัยเหล่านี้อาจกดดันให้การแข็งค่าของเงินบาทชะลอตัวลง
เชื่อSML ช่วยกระตุ้นศก.-บรรเทาเดือดร้อนรากหญ้าได้บ้าง
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า โครงการ SML น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจภาคชนบทได้บ้าง โดยเม็ดเงินจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาทจะถูกกระจายไปยังชุมชนต่างๆทั่วประเทศ งบประมาณส่วนนี้จะถูกจัดสรรโดยตรงจากรัฐบาลไปที่ “กองทุนหมู่บ้าน” โดยไม่ผ่านกลไกงบประมาณระบบราชการทำให้เม็ดเงินสามารถถึงมือชุมชนได้เร็ว เงินที่จัดสรรลงไปในชุมชนนั้นไม่มาก 200,000-400,000 บาทต่อชุมชน ขึ้นกับขนาดของชุมชน การจะนำเงินงบประมาณไปทำโครงการอะไรเป็นเรื่องของประชาคมในชุมชนจะตัดสินใจเอง โดยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านต้องกำชับให้แต่ละชุมชนนำเงินภาษีประชาชนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม