ทวี ฮึ่ม! ขู่ฟัน ผู้ว่าฯ อำนาจเจริญ ทำหนังสือถึง ปลัด มท. อ้าง จนท.ดีเอสไอ ข่มขู่ ปม คดีฮั้วสว. ชี้เป็นอุปสรรค เตือนระวังโดน ม.22 ด้าน สว.อลงกต ไม่สนท้า ดีเอสไอ กล้าออกหมายจับหรือไม่ ลั่นวุฒิฯศักดิ์สูงกว่า ยันไม่มีกฎหมายเอาผิดนำโน๊ตเข้าคูหา ขณะที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนคดี 112 จำคุกฟ้า พรหมศร 2 ปีปรับ 100 ยกฟ้อง แอมมี่ The Bottom Blues
ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยอ้างมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอข่มขู่อดีตผู้สมัคร สว. ให้ยอมรับว่ามีการฮั้ว สว. เกิดขึ้น ว่า ได้รับรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปตรวจสอบที่จังหวัดอำนาจเจริญ และพยานบุคคลกว่า 10 ปาก ซึ่งพยานให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่วนเรื่องหนังสือของผู้ว่าฯ นั้น กำลังตรวจสอบ เนื่องจากโดยหลักการสอบสวนคดีพิเศษ เรามีกฎหมาย มาตรา 22 ถ้าเป็นคดีพิเศษผู้ว่ามีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน หากมีการประสานงานไปต้องให้ความร่วมมือ ถ้าไม่ร่วมมือจะมีโทษที่เกี่ยวข้องจำคุก1-10 ปี ซึ่งได้ให้อธิบดีดีเอสไอใช้กฎหมายและข้อบังคับ เพราะที่อำนาจเจริญมีพยานกว่า 300 ปาก แต่ไม่จำเป็นต้องสอบทั้งหมด เนื่องจากได้หลักฐานที่เป็นพยานวัตถุ เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ สามารถย้อนกลับไปดูในที่เกิดเหตุได้ รวมถึงร่องรอยทางโทรศัพท์
พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ทั้งนี้ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีอุปสรรคในการสืบสวนสอบสวน แต่ถ้ามีอุปสรรคก็ขอให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ใช้กฎหมายและข้อบังคับ ที่ออกในปี 2547 ดำเนินคดีได้ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด
เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่ 3 คน ที่ลงพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ และถูกร้องเรียน เป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจริงหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี ยอมรับว่า เป็นพนักงานสอบสวนของดีเอสไอจริง และได้รับความร่วมมือดี
เมื่อถามว่า เหตุใดผู้ว่าฯ ถึงได้แจ้งว่ามีการข่มขู่พยาน พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่ายังไม่เคยแจ้งมาที่ตน หากผู้ว่าฯ พบการข่มขู่ ขอให้รายงานมาที่ตน อีกทั้งพนักงานสอบสวนของดีเอสไอลงพื้นที่อำนาจเจริญตามคำเรียกร้องของพยาน ว่าถูกข่มขู่จากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จึงอยากให้ดีเอสไอไปสอบปากคำ ขณะเดียวกันไม่มีเงินที่จะเดินทางมาที่ กทม.
เมื่อถามว่า ขั้นตอนคดีการฮั้วเลือก สว. จะเสร็จแล้วหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า อยู่ในกระบวนการของพนักงานสอบสวน ตนไม่สามารถแทรกแซงได้ แต่ไม่มีปัญหาและอุปสรรค
เมื่อถามว่า คดีนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องการเมืองระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย พ.ต.อ.ทวี ยืนยันว่า ไม่มีเรื่องการเมือง ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน เพราะเรื่องเป็นคดีพิเศษก็ว่ากันไป ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน จะทำอะไรนอกเหนือกฎหมาย ข้อบังคับ และพยานหลักฐาน ไม่ได้ เช่นเดียวกันบุคคลจะมีอิทธิพลเหนือกฎหมายไม่ได้
เมื่อถามว่า ทางดีเอสไอเตรียมแจ้งข้อกล่าวหา 138 สว. และอีก 2 สว. สำรอง พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ต้องไปถามอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งขณะนี้ก็ทำงานหนัก และให้คำนึงว่าเรื่องนี้ประชาชนให้ความสนใจ ขอให้ทุกขั้นตอนมีพยานค้ำยันทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงเส้นทางการเงิน และการใช้โทรศัพท์ติดต่อ ประกอบกับหลักและเหตุผล
เมื่อถามว่า จะมีโอกาสแจ้งข้อกล่าวหาภายในสัปดาห์นี้หรือไม่หลังครบ 2 เดือนแล้ว พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า มีรายงานว่ามาจะเร่งรัดตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน ถึงต้นเดือนพฤษภาคม ก็รอดูอยู่ ทั้งนี้ ตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องการสอบพยานมากนัก เพราะกลัวมีข้อครหาว่าการเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยว ส่วนการเรียกผู้ถูกกล่าวหามาให้ข้อมูลนั้น ก็ให้รอหมายเรียก ยังไม่แน่ชัดว่า จะทยอยออก หรือออกครั้งเดียว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การสอบสวนจะเชื่อมโยงไปยังนักการเมืองหรือไม่นั้น พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า หากถึงใครก็ดำเนินการหมด ไม่มีละเว้นใคร
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีชื่อรัฐมนตรีเข้าไปเกี่ยวข้อง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เคยออกจากปากตน
ด้าน นายอลงกต วรกี สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์ถึงความกังวลใจกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมยื่นแจ้งข้อกล่าวหา คดีฮั้ว สว. ในวันที่10 พ.ค. นี้ ว่า ยื่นก็ยื่น คำถามที่น่าสนใจคือ มีอำนาจหรือไม่ ถ้ามีหนังสือเชิญมาก็เป็นสิทธิที่ว่าตนจะไปหรือไม่ไป แต่กล้ามีหมายจับ มีหมายขัง มีหมายค้นหรือไม่ เพราะเท่าที่เช็คข้อมูลมาที่เขาไปยื่นกับศาลไม่มีผู้พิพากษาคนไหนเซ็นเลย
เมื่อถามว่าทางดีเอสไอเป็นคนยื่นให้ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นฟ้องศาลฎีกา เพราะพบเส้นเงิน 500 ล้านบาท นายอลงกต กล่าวว่า ถ้ามี ก็เป็นอำนาจของ กกต. ที่จะยื่นฟ้องหรือไม่ เช่น ตนบอกว่าน้องตบหน้าตนเมื่อวาน แล้วไปแจ้งความ แต่ตำรวจจะฟ้องหรือไม่เป็นเรื่องของตำรวจแต่ตนยื่นฟ้องแล้ว ดังนั้นเรื่องเส้นเงินเป็นสิทธิของ ดีเอสไอที่จะยื่น กกต. แต่ กกต. จะส่งหรือไม่เป็นเรื่องของ กกต. และอยู่ในอำนาจหน้าที่ของเขาหรือไม่
เมื่อถามว่าเมื่อวันที่ 5 พ.ค. มีรายงานว่าผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ แจ้งปลัดกระทรวงมหาดไทยมีผู้แอบอ้างเป็นดีเอสไอ ไปขอให้อดีตผู้สมัคร สว.เซ็นยืนยอมว่ามีการฮั้วกัน มองการทำงานของดีเอสไออย่างไร นายอลงกต กล่าวว่า ตนตอบไม่ได้ว่าการทำงานของดีเอสไอเป็นอย่างไร
ขอเรียนตามตรงว่าดีเอสไอเป็นแค่หน่วยงานที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ แต่ผมเป็นวุฒิสมาชิกปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญถ้าพูดตามตรงผมศักดิ์สูงกว่า ผมสูงไม่มายุ่งกับข้างล่าง นายอลงกต กล่าว
เมื่อถามว่าการกระทำของดีเอสไอแบบนี้ถ้าเป็นจริงจะทำให้การตรวจสอบโปร่งใสหรือไม่ นายอลงกต กล่าวว่า ก็ดี แต่ปัญหาคือ จะโปร่งใสหรือไม่ ผิดกฎหมายหรือไม่ เช่น ทำนองว่ามีโพยเข้าไปในคูหาผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งงนายกเทศมนตรีในวันที่ 11 พ.ค.นี้ หากผู้เลือกมีกระดาษโน๊ตว่าเลือกเบอร์ไหนเข้าคูหาไปด้วยอย่างนี้ผิดหรือไม่ ซึ่งไม่มีกฎหมายไหนรับรองว่าผิดหากตนมีกระดาษโน๊ตเข้าไปเพราะจำเบอร์ไม่ได้จึงต้องมีกระดาษเข้าไปเตือนความจำ
ดังนั้นอะไรที่ไม่ผิดกฎหมายก็ไม่ผิด เช่น ถ่มน้ำลายทิ้งริมถนน กฎหมายไทยไม่ผิด แต่กฎหมายสิงคโปร์ผิด ต้องดูว่ากฎหมายบังคับใช้หรือไม่ถ้ากฎหมายไม่บังคับใช้ก็ถือว่าไม่ผิด ดังนั้นต้องว่าไปตามกฎหมาย สังคมยุคนี้กฎหมายนำความถูกต้องมาก่อน ความถูกใจมาทีหลัง
เมื่อถามว่าดูเหมือนท่าทีของ สว. มั่นใจในการสู้คดีฮั้วว่าไม่ผิดกฎหมาย นายอลงกต กล่าวว่า เรายึดตามกฎหมาย ถ้ากฎหมายว่าเราไม่ผิดก็ไม่ผิด แต่ถ้ากฎหมายว่าเราผิดก็ผิด เพราะกฎหมายเป็นหลักสำคัญในการทำงานของวุฒิสมาชิก
เมื่อถามย้ำว่าถ้าที่สุดแล้ว กกต. ยื่นศาลฎีกา แล้วทำให้กระบวนการเลือก สว.ที่ผ่านมาเป็นโมฆะ นายอลงกต กล่าวว่าก็ต้องว่าไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกา แต่คำพิพากษายังไม่ออก ดังนั้นขอให้ออกมาก่อนค่อยว่ากันอีกที เพราะยังตอบไม่ได้เพราะเรื่องยังไม่เกิด เอาวันนี้ให้รอดก่อน
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.00 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีของ นายพรหมศร วีระธรรมจารี หรือ ฟ้า และ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ The Bottom Blues ผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาหลักตามมาตรา 112 จากการปราศรัยและร้องเพลงหน้าศาลจังหวัดธัญบุรี เมื่อวันที่ 14 ม.ค.2564 เรียกร้องให้ศาลปล่อยตัว นายสิริชัย นาถึง หรือ นิว นักศึกษาธรรมศาสตร์ ซึ่งถูกจับกุมกลางดึกตามหมายจับในคดี 112
กรณีของพรหมศร (จำเลยที่ 1) ซึ่งให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาในวันสุดท้ายของการสืบพยาน เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2566 ศาลจังหวัดธัญบุรีพิพากษาว่านายพรหมศรมีความผิดตามมาตรา 112 และข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 200 บาท ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี ปรับ 100 บาท ไม่รอลงอาญา
ส่วนกรณีของไชยอมร (จำเลยที่ 2) ซึ่งให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลพิพากษายกฟ้องในข้อหาตามมาตรา 112 เนื่องจากพฤติการณ์ส่อแสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ทราบมาก่อนว่าเมื่อจำเลยที่ 2 ร้องเพลง จำเลยที่ 1 และผู้ชุมนุมจะตะโกนรับด้วยถ้อยคำอย่างใด อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ร้องเพลงที่ดัดแปลงเนื้อเพลงตามฟ้องด้วย
พยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยที่ 2 ส่วนข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษปรับจำนวน 200 บาท
ส่วนข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสอง เนื่องจากในการสืบพยานได้ความว่า บริเวณสถานที่เกิดเหตุมิใช่สถานที่แออัดในลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่โรค และจำเลยทั้งสองไม่ใช่บุคคลผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดกิจกรรม ดังนั้น จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มี.ค.2567 นายพรหมศรได้อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 สามารถสรุปได้ว่า จำเลยที่ 1 สำนึกในการกระทำความผิดแล้ว โดยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จำเลยที่ 1 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ได้พยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น และเข้าร่วมงานจิตอาสาเพื่อทำหน้าที่จิตอาสาช่วยเหลือสังคมตามโอกาสต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 กลับตัวเป็นพลเมืองดี นำความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริต และอยู่ระหว่างศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นกำลังหลักในการเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งชราภาพ บิดามีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคพาร์กินสัน (ระยะแรกเริ่ม) และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และภาวะไตวายเฉียบพลัน ส่วนมารดา ปัจจุบันมิได้ประกอบอาชีพใด มีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง
หากได้รับโทษจำคุกย่อมเกิดผลกระทบต่อจำเลยที่ 1 และครอบครัวทำให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างยิ่ง เนื่องจากสมาชิกครอบครัวของจำเลยที่ 1 เข้าสู่วัยชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิดาที่มีโรคประจำตัวและภาวะเสี่ยงหลายประการ จำต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และขาดคนส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัว
ด้วยเหตุผลข้างต้น ขอศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 สถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 ด้วย โดยจำเลยที่ 1 พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งหรือเงื่อนไขที่ศาลกำหนดทุกประการ
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ ศาลเห็นว่า ฟ้า ในฐานะจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นลงโทษเหมาะสมกับพฤติการณ์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่แก้ไข จำเลยที่หนึ่งมีทัศนคติเป็นปรปักษ์ต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของประเทศไทย ไม่มีเหตุผลเพียงพอให้รอการลงโทษ
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ จำคุก 4 ปี ปรับ 200 บาท ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี ปรับ 100 บาท ไม่รอลงอาญาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นพ้องด้วย
ส่วน แอมมี่ ในฐานะจำเลยที่ 2 แม้โจทก์มีพยานเบิกความว่า จำเลยที่สองร่วมในกลุ่มผู้ชุมนุมและปราศรัยต่อจากจำเลยที่ 1 แต่พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยที่ 2 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นพ้องด้วย
ขณะนี้อยู่ระหว่างประกันตัวฟ้า พรหมศร ในระหว่างฎีกา