นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กกทท.กล่าวว่าครบรอบ 74 ปี กทท. จะเน้นวิสัยทัศน์ในการพัฒนาองค์กรด้วยแนวคิด 3 Smart ได้แก่ Smart Port ยกระดับการบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Smart Commercial พัฒนาเศรษฐกิจหลังท่าให้เป็นย่านธุรกิจใหม่ Smart Community พัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนรอบท่าเรือให้เติบโตไปพร้อมองค์กร
สำหรับปีงบประมาณ 2567 กทท. มีรายได้รวม 17,224 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 7,648 ล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568) มีกำไรสุทธิ 3,500 ล้านบาท
นายเกรียงไกร กล่าวว่า สำหรับท่าเรือระนองมีสินค้านำเข้า – ส่งออกเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวโดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ เนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับประเทศเมียนมา ส่งผลให้ปริมาณเรือ ตู้สินค้า และสินค้าผ่านท่าเพิ่มสูงขึ้น
ด้านโครงการสำคัญ กทท. ยังเดินหน้าพัฒนา “ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3” ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าในงานทางทะเล 68.3% ขณะที่ส่วนงานอื่น เช่น อาคาร ท่าเรือ ระบบถนน และสาธารณูปโภค เริ่มก่อสร้างแล้ว และอีก 2 ส่วน ได้แก่ ระบบรถไฟ และอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า อยู่ระหว่างจัดทำเอกสาร TOR และว่าจ้างที่ปรึกษา
โครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) ในจังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม โดยมีแผนจะขยายผลไปยังจังหวัดนครราชสีมา นครสวรรค์ รวมถึงพื้นที่ตามแนวรถไฟในภาคกลางตอนล่าง เช่น พระนครศรีอยุธยาและราชบุรี
นายเกรียงไกร กล่าวว่า หลังจากที่มีการประกาศจากทางสหรัฐฯว่า ประเทศไทยจะโดนเก็บภาษีนำเข้า 36% ทำให้ผู้ประกอบการเร่งขนส่งสินค้า ทั้งนำเข้าและส่งออกมากขึ้น จากปกตินำเข้า 50.5% และส่งออก 49.5% ส่งผลให้ภาพรวมการขนส่งสินค้าในครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นกว่าปกติ อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หากมีการปรับภาษีขึ้นจริงจะมีผลกระทบส่งให้การส่งออกลดน้อยลง โดยเวลานี้รัฐบาลไทย ก็อยู่ระหว่างเตรียมเจรจากับสหรัฐฯ และคาดว่า หากเจรจาสำเร็จก็จะทำให้ได้รับผลกระทบลดลง