Moody’s ปรับลดเครดิตสหรัฐฯ สะเทือนตลาดโลก เงินทุนอาจไหลกลับเอเชีย แต่หุ้นไทยยังเผชิญข้อจำกัด
วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 บล.พายเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดบวก 332 จุด (+0.78%) ได้แรงหนุนจากการทำข้อตกลงระงับภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจจะอ่อนแอก็ตาม ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.4% ทำสถิติบวกติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สองจากคลายกังวลการค้า
คืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (ตามเวลาประเทศไทย) มหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ออกมารายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพบว่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ถ้อยแถลงภายในระบุว่าตั้งแต่เดือน ม.ค. 25 ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงมาแล้ว 30% ภาษีศุลกากรถูกกล่าวถึงโดยผู้บริโภคกว่า 3 ใน 4 แต่อย่างไรก็ตามรายงานฉบับนี้ถูกจัดทำก่อนที่จะมีการยกเว้นภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน โดยคาดการณ์เงินเฟ้อในปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 7.3% จากเดิมที่ 6.5% แต่อย่างไรก็ตามหลังจากช่วงตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดทำการ Moody ได้ออกมาปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯจาก Aaa เป็น Aa1 โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯกำลังเผชิญกับการขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้น ในปี 25 ขาดดุลไปแล้วกว่า 1.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (+13%YoY) รวมไปถึงหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ด้วยดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเป็นอีกปัจจัยเชิงลบต่อสหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสจะตอบรับเชิงลบในช่วงต้นสัปดาห์ อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนค่าและทำให้สกุลฝั่งเอเชียกลับมาแข็งค่า ตลาดหุ้นอาจตอบรับเชิงบวกแต่ก็มองเป็นเพียงระยะสั้นเพราะภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเสี่ยงจากการค้าและตลาดหุ้นไทยนั้นมีความเสี่ยงจากปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอทั้งเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน ภายหลังจากประกาศผลประกอบการ 1Q25 พบว่า Bloomberg Consensus ปรับลดกำไรปี 25 มาเหลือเพียง 91.3 บาท / หุ้น จากช่วงต้นปีที่ 96 บาท / หุ้น (สะท้อนถึงแรงผิดหวังผลประกอบการที่ทยอยรายงานออกมา)
ขณะที่ช่วงถัดไปโดยเฉพาะผลประกอบการ 2Q25 จะย่ำแย่มากกว่าเดิมเพราะมีผลกระทบจากภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯกับนานาประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงอย่างมีนัยยะในช่วง 2Q25 (1Q25 จำนวนนักท่องเที่ยวยังสูงโดยเฉพาะช่วง ม.ค. , ก.พ.) แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวมาลดลงอย่างมีนัยยะในช่วง มี.ค. เม.ย. และเป็นไปได้ที่ พ.ค. จะลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนหุ้น SET100 ที่กำไรดีกว่าคาดการณ์ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในกลุ่ม Domestic Play อาทิ สื่อสาร (ADVANC) ธนาคารพาณิชย์ (BBL) ค้าปลีก (CPALL COM7) สินค้าโภคภัณฑ์ (อาหาร) BTG CPF อิเล็กทรอนิกส์ (DELTA HANA) สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจนั้นๆเพราะเป็นช่วงที่รับผลกระทบทางเศรษฐกิจพร้อมกับหุ้นตัวอื่นๆ
สัปดาห์นี้รอติดตามปัจจัยประกอบไปด้วย (1) GDP ไทย 1Q25 ในเช้าวันจันทร์ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 2.9%YoY (2) ฝั่งสหรัฐรอติดตามดัชนี PMI เบื้องต้นทั้งภาคผลิตและภาคบริการ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 49.9 , 50.7 ตามลำดับ
สัปดาห์นี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1170 – 1220 ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์ยังแนะทยอยลดพอร์ตการลงทุนเพราะความเสี่ยงปัจจัยพื้นฐานและเศรษฐกิจไทยที่มีความเป็นไปได้จะผ่านจุดสูงสุดแล้วในช่วง 1Q25 แต่อย่างไรก็ตามระยะสั้นอาจเลือก Trading ในหุ้นที่กระแสเงินทุนต่างชาติอาจไหลมา โดยเฉพาะหุ้นใหญ่ อาทิ ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ค้าปลีก (CPALL) อาหาร (CPF) พลังงาน (PTTEP)
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 7.6 พันล้านบาท (+20%YoY, +6%QoQ) ทำสถิติสูงสุดใหม่ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด กำไรที่เติบโตแข็งแกร่งหนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.05% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks และ Synergy benefits ของ CPAXT
CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท)
1Q25 รายงานกำไรสุทธิ 8549 ล้านบาท (+642%YoY,+105%QoQ) ถ้าไม่รวมรายการพิเศษจะมีกำไรปกติที่ระดับ 8303 ล้านบาท (+11867%YoY,+38%QoQ) ดีกว่าที่เราคาดไว้มาก (เราคาดไว้เพียง 7000 ล้านบาท) สาเหตุหลักเกิดจากผลดีของราคาเนื้อสัตว์ที่อยู่ในระดับสูงรวมกับต้นทุนการเลี้ยงที่ลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นสูงถึง 18.5% แนวโน้มช่วง 2Q25 เราคาดว่ากำไรยังคงอยู่ในระดับสูงได้จากผลดีของราคาสุกรในประเทศ ที่ล่าสุดปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 88 บาท/กก. และจากกำไรสุทธิในช่วง 1Q25 ที่ออกมาดีเกินคาด เราจึงอาจจะมีการปรับประมาณการขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ที่ 19946 ล้านบาท โดยจะรอดูผลประกอบการช่วง 2Q25 อีกครั้ง
#ทรัมป์ #ข่าววันนี้ #หุ้น #จีดีพี #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์