สถาบันประสาทวิทยา ประกาศความสำเร็จ ผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมอง รักษา ‘โรคทูเร็ตต์’ รายแรกของประเทศไทย
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง พญ.นภา ศิริวิวัฒนากุล ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา และบุคลากรสถาบันประสาทวิทยา เข้าร่วมในงานแถลงความสำเร็จ การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมอง รักษาโรคทูเร็ตต์สำเร็จเป็นรายแรกของประเทศไทย พร้อมแถลงข่าวการจัดกิจกรรมครบรอบ 68 ปี สถาบันประสาทวิทยา
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า โรคทูเร็ตต์ (Tourette syndrome) เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทในสมอง ส่วนใหญ่จะเกิดอาการกระตุกที่ใบหน้า ช่วงบนของลำตัว การออกเสียง หรือตะโกนโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเป็นความผิดปกติเล็กน้อยจะเรียกว่า ติ๊ก (tic) เช่น ปากกระตุก ตาขยิบ มีการเกร็งใบหน้า ลำคอ โดยผู้ป่วยจะควบคุมไม่ได้ มักเกิดในเด็กและจะอาการดีขึ้นเมื่อโตขึ้น แต่บางกลุ่มมีอาการมากขึ้นร่วมกับพฤติกรรมทางอารมณ์ บางคนตะโกนออกมาเป็นคำหยาบ ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเข้าสังคมได้ ส่งผลให้ขาดโอกาสต่างๆ
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า โรคทูเร็ตต์มีอัตราการพบผู้ป่วยประมาณร้อยละ 1 ดังนั้น ในประเทศก็อาจมีผู้ป่วยประมาณ 7 แสนคน ซึ่งในจำนวนนี้จะพบผู้ที่มีอาการรุนแรงประมาณร้อยละ 10 หรือราวๆ 7 หมื่นคน โดยสถาบันประสาทวิทยาได้รักษาผู้ป่วยโรคทูเร็ตต์รายแรกในประเทศไทยคือ นายตฤณ เลี้ยงสกุล ได้เริ่มให้การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึก เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา หลังการผ่าตัดผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เกิดความผิดปกติทางระบบประสาทอื่น อาการเคลื่อนไหวและเปล่งเสียงผิดปกติค่อยๆ ลดน้อยลง และจากการติดตามอาการ พร้อมทั้งปรับกระแสไฟฟ้ากระตุ้นสมองตลอดระยะเวลา 2 เดือน ผู้ป่วยมีอาการนิ่งขึ้น อาการเคลื่อนไหวผิดปกติลดลง เกือบร้อยละ 70
“นับเป็นความสำเร็จของทีมแพทย์สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ และประเทศไทย ที่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยโรคที่มีความยุ่งยากซับซ้อนให้มีอาการดีขึ้นได้เป็นรายแรก สมกับปณิธานของกรมการแพทย์ที่ว่า ทำดีที่สุด เพื่อทุกชีวิต” นพ.ทวีศิลป์กล่าว
นพ.ทวีศิลป์กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ป่วยทูเร็ตต์ในไทยยังมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงการรักษา เพราะนอกจากต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางแล้ว ยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายที่กองทุนสุขภาพยังไม่ครอบคลุม ผู้ป่วยหนึ่งรายมีค่าใช้จ่ายเกือบๆ 1 ล้านบาท ซึ่งผู้ป่วยรายแรกนี้ สถาบันประสาทวิทยาได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายด้วยเงินของมูลนิธิสถาบันประสาทวิทยา อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องการรักษาผู้ป่วยโรคทูเร็ตต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีข้อมูลผู้ป่วย ศึกษาโรคนี้ให้มากขึ้น เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคทูเร็ตต์เข้ารักษาอยู่ที่สถานบันประสาทวิทยาประมาณปีละ 60-80 คน เป็นการรักษาด้วยยา ซึ่งหากมีผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์เหมาะสมกับการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึก เราก็พร้อมที่จะดูแลอย่างเต็มที่
ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง พญ.นภา กล่าวว่า สถาบันประสาทวิทยาจะดำเนินการตรวจวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยกลุ่มที่มีความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหว ที่มีข้อบ่งชี้และความจำเป็นต้องฝังเครื่องกระตุ้นสมอง โดยตั้งเป้าหมายปีละ 10 ราย และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาการวินิจฉัยและรักษาโรคสมองและระบบประสาทอื่นๆ ให้ทันสมัยและทัดเทียมต่างประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมครบรอบ 68 ปี สถาบันประสาทวิทยา ในวันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม ผ่าน 4 กิจกรรม
ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง พญ.นภา กล่าวว่า ได้แก่ 1.กิจกรรม ชัก…อยากจะวิ่ง ปีที่ 6 ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ เวลา 05.30 น. 2.กิจกรรมร้อยเรื่องจริงสมอง เพื่อตรวจสอบและเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง 3.กิจกรรม Brain Boost Concert ณ โรงละคร เลอทานา บางพลี เวลา 18.00 น. และ 4.Care and Share เชิญชวนประชาชนสนับสนุนมูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของสถาบันประสาทวิทยา โดยจะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี 2 เท่า ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลการสมัครเข้าร่วมกิจกรรม ได้ทาง Facebook สถาบันประสาทวิทยา หรือ โทร 0-2354-6118
นพ.ธีรเดช ศรีกิจวิไลกุล นายแพทย์เชี่ยวชาญ ศัลยกรรมระบบประสาทและสมอง สถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึก ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของแพทย์หลายท่าน เพราะในสมองเรามีตำแหน่งหลายจุด ซึ่งเราต้องร่วมกันตัดสินใจที่จะใส่เครื่องมือไว้ในจุดใด โดยเคสของผู้ป่วยรายแรกในไทยนี้ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 5-6 ชั่วโมง ซึ่งจะต้องดูคลื่นสมองในระหว่างการผ่าตัด ใส่แบตเตอรี่ในร่างกาย ผู้ป่วยจะต้องชาร์จแบตตามกำหนด และแบตจะมีอายุใช้งานประมาณ 10 ปี ทั้งนี้ การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึกไม่ได้รักษาที่ตัวโรคทูเร็ตต์ แต่เป็นการปรับคลื่นไฟฟ้าในสมอง ให้ควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายได้ดีขึ้น ดังนั้น ผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง