เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 25 มิ.ย. 68 ที่ห้องคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ B1 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดการประชุม The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of Artificial Intelligence ในปี 2568 (GFEAI 2025) ภายใต้หัวข้อ “AI Ethical Governance in Action” เพื่อยกระดับบทบาทไทยในเวทีโลกด้านปัญญาประดิษฐ์ และส่งเสริมจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมว.มหาดไทย นางโอเดรย์ อาซูเลย์ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และนางลิเดีย อาร์เธอร์ บริโต ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่แห่งยูเนสโก เข้าร่วม
นายกฯ กล่าวว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในเวทีสำคัญแห่งนี้ ซึ่งมีจุดยืนร่วมกันในการกำหนดอนาคตที่เทคโนโลยีเป็นพลังขับเคลื่อนเพื่อมนุษยชาติ และให้ความสำคัญต่อหลักจริยธรรมในการพัฒนาเอไอ ขอชื่นชมองค์การยูเนสโกที่ได้ให้ข้อเสนอแนะว่าด้วยจริยธรรมสำหรับปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสามารถรวมสมาชิกองค์การยูเนสโกทั้ง 194 ประเทศให้เดินหน้าร่วมกัน สู่การพัฒนาที่มีความรับผิดชอบ ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต การทำงาน การเรียนรู้ และจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในไม่ช้า ซึ่งรัฐบาลยึดมั่นในหลักการสำคัญ 3 ประการ เพื่อให้แน่ใจว่าเอไอจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ประการแรก การเสริมศักยภาพด้านบวกของเอไอให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการช่วยเกษตรกรในการบริหารจัดการน้ำ การสนับสนุนแพทย์ในการวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม และการส่งเสริมการเรียนรู้เฉพาะบุคคล ซึ่งเอไอมีศักยภาพอย่างมากในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน แต่สิ่งสำคัญคือต้องเร่งผลักดันนวัตกรรมเหล่านี้ให้เข้าถึงได้ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาและชุมชนเปราะบาง
นายกฯ กล่าวว่า ประการที่สอง การป้องกันการนำเอไอไปใช้ในทางที่มิชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยแพร่ข้อมูลเท็จออกไป ซึ่งเร็วกว่าข้อมูลที่ถูกต้อง ทำให้ข้อมูลเท็จดูเหมือนจริง สื่อที่ถูกดัดแปลงทางดิจิทัล (Deepfake) และภัยคุกคามทางไซเบอร์ทำลายความเชื่อมั่นของสาธารณชนและบั่นทอนหลักประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องมีข้อกำหนดทางกฎหมายที่ชัดเจน เครื่องมือในการตรวจสอบข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และการปลูกฝังทักษะรู้เท่าทันดิจิทัลให้กับประชาชนทุกคน และประการสุดท้าย การยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเอไอ ความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียงานจากเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม แต่เอไอควรทำหน้าที่ในการสนับสนุน ไม่ใช่แทนที่แรงงานมนุษย์ ดังนั้น ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษา จึงต้องร่วมมือกัน เพื่อยกระดับทักษะของแรงงาน พร้อมรักษาคุณค่าของแรงงานมนุษย์ให้มั่นคง
นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมกัน โดยภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ไทยกำลังเดินไปข้างหน้า ด้วยแผนงานสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ 1. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยมีเป้าหมายสร้างผู้ใช้งานเอไ ทั่วไป จำนวน 10 ล้านคน ผู้เชี่ยวชาญเอไอ จำนวน 90,000 คน และนักพัฒนาเอไอ จำนวน 50,000 คน 2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยงบปะมาณกว่า 15.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมการพัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์เปิด (Open Source AI Platform) และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลแห่งชาติ 3. การผลักดันการใช้เอไอให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ด้วยงบประมาณกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพลิกโฉมภาคเกษตรกรรม สาธารณสุข และการท่องเที่ยว และ4. การเป็นผู้นำอย่างมีจริยธรรม ผ่านการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ของภูมิภาค เพื่อส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศและความร่วมมือในระดับภูมิภาค พร้อมกันนี้ ไทยยังได้พัฒนาเครื่องมือเพื่อติดตามความก้าวหน้าของโลกในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะว่าด้วยจริยธรรมสำหรับเอไอของยูเนสโก เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“เอไอต้องเป็นพลังแห่งความจริง ไม่ใช่การหลอกลวง เป็นเครื่องมือเพื่อการมีส่วนร่วม ไม่ใช่การแบ่งแยก และเป็นแรงขับเคลื่อนความก้าวหน้า ไม่ใช่ความหวาดกลัว โดยไทยพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตของเอไอที่มีจริยธรรมและความเท่าเทียม พร้อมก้าวไปข้างหน้าด้วยสติปัญญา ความรับผิดชอบ และเป้าหมายร่วมกัน” นายกฯระบุ