นาทีนี้ เชื่อเถอะว่าคงไม่มีใครต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดัน และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อย่างหนักหน่วงมากไปกว่า “ขุนคลัง” ของรัฐบาล อย่าง “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะ “หัวหน้าทีมเจรจากำแพงภาษีสหรัฐฯ” อีกแล้ว
เมื่อมีความชัดเจนว่า สหรัฐฯ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยสูงถึง 36 เปอร์เซ็นต์ โดยเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 68 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐอเมริกาจะเริ่มใช้อัตราภาษีนำเข้าชุดใหม่กับประเทศคู่ค้าหลายแห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม นี้ เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ได้ส่งจดหมายถึงประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย
โดยในส่วนของไทย สหรัฐฯประกาศเก็บภาษีใหม่ อยู่ที่ 36 เปอร์เซ็นต์ ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หมายความว่า จากนี้จะมีธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ย่อมได้รับผลกระทบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมส่งออกกระทบ “แรงงาน” ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จนมีการประเมินกันว่า อาจมีการว่างงานเพิ่มขึ้นนับล้านราย ยังไม่นับมูลค่าความเสียหาย ที่จะตามมา
และหากย้อนกลับไปก่อนหน้าที่สหรัฐฯ โดยโดนัล ทรัมป์ จะประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ พิชัย เคยออกมาปฏิเสธกับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วันว่า "ไม่เป็นความจริง” ต่อกระแสข่าวว่าไทยจะถูกจัดเก็บอัตราภาษีที่ 18 – 36% แต่แล้ว “ข่าวลือ” ที่พิชัย ปฏิเสธ ก็ได้กลายเป็นเรื่องจริง จนทำให้รัฐบาล “แพทองธาร 1/ 2” ถูกโจมตีรุนแรง ว่าทำการเจรจา “ล้มเหลว” และผลที่จะตามมาคือ ความเสียหายมหาศาล อีกทั้งยังจะกลายเป็น “พายุเศรษฐกิจ” ที่กระทบต่อพี่น้องประชาชนแน่นอน
ขณะเดียวกัน ตัวพิชัย เองเขาก็ยอมรับว่า “รู้สึกช็อก” แต่ถึงอย่างนั้นใช่ว่าจะหมดหวัง เพราะเชื่อว่า “ข้อเสนอ” ที่ไทยส่งไปยังสหรัฐฯ ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 6 กรกฎาคม จะทำให้การพิจารณาเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้จากไทยปรับลดลงจาก 36 เปอร์เซ็นต์แน่นอน โดยจะใช้ระยะเวลาที่เหลือจากนี้เจรจาให้ทันก่อนเดดไลน์ใหม่ 1 สิงหาคมนี้
เท่ากับว่า ทั้งพิชัย และประเทศไทย ยังต้องรอลุ้น “แผนสำรอง” กันอีกรอบ ซึ่งหากล้มเหลว ครั้งนี้มีหวังทั้งรัฐบาล ตั้งแต่หัวแถวไปจนถึงตัวพิชัย อาจถูก “บี้” ให้ต้อง “พิจารณาตัวเอง” ตามมาหรือไม่ ?
สำหรับขุนคลัง พิชัย ชุณหวชิร เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2492 ปัจจุบันอายุ 76 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี(บัญชีบัณฑิต) จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ จาก Indiana University of Pennsylvania สหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่งรองนายกฯและรมว.คลัง มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2567
เคยเป็น ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2567 ,เคยนั่งกรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ,ประธานกรรมการ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกรรมการ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2566
พิชัย แจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อคณะกรรมการป.ป.ช. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อเดือน พ.ค.2567 พิชัย และ “สุทธาสินี สกุลคู” คู่สมรส แจ้งมีทรัพย์สินและหนี้สินรวม 269 ล้านบาท