สศอ.ชี้ MPI งวด มิ.ย. โต 0.58% เป็นบวกต่อเนื่องเดือนที่ 3
GH News July 30, 2025 06:09 PM

สศอ. เผย MPI เดือน มิ.ย. 68 ขยายตัว 0.58% บวกต่อเนื่องเดือนที่ 3 หนุนไตรมาส 2 ขยายตัว 1.47% อานิสงส์อุตฯ ยานยนต์และการส่งออกฟื้นตัว แนะรัฐบาลเตรียมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ

30 ก.ค. 2568 – นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิ.ย. 2568 อยู่ที่ระดับ 97.35 ขยายตัว 0.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเดือนที่ 3 ด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.58% ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 96.75 ขยายตัว 1.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมกลับมาผลิตเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยสนับสนุนหลักต่อภาคการผลิต ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ 17.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการคุณสู้เราช่วยที่ขยายเวลาลงทะเบียน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง มีมูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัว 15.0% เป็นเดือนที่ 12 เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก่อนที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า

อย่างไรก็ตาม ความไม่ชัดเจนของผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกายังคงกดดันภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศคู่แข่งสำคัญทางการค้าสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาได้มากขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิ.ย. 2568 ปรับตัวลดลง มีปัจจัยหลักจากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การทะลักของสินค้าต่างประเทศ และเงินบาทที่แข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น การบริโภคภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ส่งผลกระทบต่อยอดขายของสินค้าอุตสาหกรรมโดยรวม นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวมีการชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนก.ค. 2568 ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง โดยปัจจัยในประเทศชะลอตัวลงตามการลงทุนภาคเอกชนและการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางที่ปรับลดลง รวมถึงความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อที่ยังคงมีสภาวะแย่ลง ด้านปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวัง จากผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทำให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ ภาคการผลิต และความต้องการสินค้ายังมีความไม่แน่นอนสูง

“ภาคอุตสาหกรรมไทยยังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าส่งออกหลักของไทยที่ผู้ผลิตหลักเป็น SME มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์  อัญมณี อาหารสัตว์เลี้ยง ปลาทูน่ากระป๋อง และถุงมือยาง รัฐบาลจึงเร่งรับมือด้วยการสนับสนุนให้ใช้สินค้าไทยในประเทศผ่านมาตรการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพิ่มแรงจูงใจให้เอกชนใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ส่งเสริมการรับรองคุณภาพสินค้า เช่น การออกใบ certificate ให้กับพลอยเจียระไนและเครื่องประดับไทย ขยายตลาดทดแทนในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ตลอดจนผลักดันสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ เครื่องประดับ Luxury Thai Brand และถุงมือยางชนิดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิมและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว” นายภาสกร กล่าว

สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนมิถุนายน 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ยานยนต์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17.02% จากผลิตภัณฑ์รถยนต์นั่งไฮบริดขนาดใหญ่ รถยนต์ไฮบริดขนาดเล็ก และรถยนต์ไฟฟ้า เป็นหลัก ตามกระแสความนิยมและความต้องการของตลาด ในขณะที่รถบรรทุกปิคอัพขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและส่งออก , ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.18% จากผลิตภัณฑ์ PCBA, Integrated Circuits (IC) และ semiconductor devices เป็นหลัก ตามการขยายตัวของตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลก ประกอบกับเร่งส่งออกไปสหรัฐอเมริกา และน้ำมันปาล์ม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.84% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบเป็นหลัก เนื่องจากปริมาณผลปาล์มออกสู่ตลาดมากขึ้นและมีคำสั่งซื้อจากอินเดีย จีน และเมียนมาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดส่งออกขยายตัว

สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนมิ.ย. 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.17% จากผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ เป็นหลัก เนื่องจากลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อจากภาวะเศรษฐกิจ , ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.15% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเบนซิน 91 และ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็นหลัก จากการชะลอตัวของการท่องเที่ยว ประกอบกับการใช้ยานยนต์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์น้ำแร่และน้ำดื่มบรรจุขวดประเภทอื่น ๆ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.97% จากผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมและเครื่องดื่มกาแฟสำเร็จรูป เป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวเพื่อซ่อมบำรุง รวมทั้งมีผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวต่อเนื่องกว่า 6 เดือน

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.