ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
นายกฯอนุทิน – ไม่ใช่แค่ “พรรคเพื่อไทย” ที่ต้องสูญเสียเครดิตทางการเมืองครั้งใหญ่ ภายหลังนายกรัฐมนตรีของพรรคต้องหลุดจากตำแหน่งเพราะกระบวนการนิติสงครามถึงสองหน/สองคนต่อเนื่องกัน
ไม่ใช่แค่ “พรรคประชาชน” ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะสูญสิ้นศรัทธาจากผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อย เพราะการเลือกโหวต “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ผู้นำประเทศคนใหม่อย่างอนุทิน และ “พรรคภูมิใจไทย” เอง ก็มีภาระหนักหน่วงหนักหนาวางอยู่บนบ่าของพวกตนเช่นเดียวกัน
โจทย์ท้าทายข้อแรก คือ ถ้าสุดท้ายมีการบิดผันบิดพลิ้ว “เอ็มโอเอ” ที่ทางพรรคภูมิใจไทยทำไว้กับพรรคประชาชน ที่อนุทินลงนามคู่กับ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ”
แน่ล่ะ ว่าพรรคประชาชนจะต้องโดนวิพากษ์วิจารณ์ ถล่มซ้ำ เยาะเย้ยสมน้ำหน้า ในฐานะพรรคการเมืองที่อ่อนด้อยในเกมการเมือง รู้ไม่ทันนักการเมืองพรรคอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ
ข้อหาเรื่องการทำให้เสียงประชาชน “14 ล้านเสียง” ที่ได้มาจากการเลือกตั้งปี 2566 “เสียเปล่า” จะยิ่งถูกเน้นย้ำมากขึ้น
แต่ขณะเดียวกัน ก็ใช่ว่าอนุทินและ “รัฐบาลภูมิใจไทย” จะ “ลอยตัว-ไร้มลทิน” จากสถานการณ์ดังกล่าว
เพราะแม้นักการเมืองที่ไม่รักษาสัญญา ลื่นไหลไปเรื่อยๆ ตามสภาวะของอำนาจ อาจ “ห้อยโหน” อยู่ในแวดวงการเมืองได้ยาว ทว่า พวกเขามักไม่เคยได้รับการยอมรับนับถือจากประชาชน
ส่วนใหญ่ของประเทศ
โจทย์ท้าทายลำดับที่สอง คือ ไม่ว่าอนุทินจะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะคะแนนโหวตของพรรคประชาชน ผนวกด้วยคะแนนเสียงของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเดิมอีกส่วนหนึ่ง หรือเพราะมี “แรงผลักดันพิเศษ” อื่นๆ เข้ามาเสริมสมทบ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอกว่า ในฐานะนักการเมือง ในฐานะพรรคการเมือง อนุทินและภูมิใจไทย ไม่ใช่นักการเมืองและพรรคการเมืองที่ “ป๊อปปูลาร์” ไม่ใช่นักการเมืองและพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมจาก “มหาชน” วงกว้างครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
เหมือนอย่างที่ “พรรคสีส้ม” เป็น “ทักษิณ ชินวัตร” (เคย) เป็น หรือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น
พิสูจน์ชัดเจนจากคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ในการเลือกตั้งที่ไม่มากนัก
พิสูจน์ชัดเจนได้จากปฏิกิริยาของผู้คนในโซเชียลมีเดียตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ถ้าจะแปรเปลี่ยนให้การได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลายเป็น “บันไดก้าวใหญ่” ซึ่งจะหนุนส่งให้อนุทินและภูมิใจไทยได้ขยับขึ้นไปเป็นนักการเมืองและพรรคการเมืองของมหาชนโดยแท้จริง
นายกฯ และรัฐบาลใหม่ ยิ่งต้องเร่งผลักดันข้อตกลงใน “เอ็มโอเอ” ให้เกิดขึ้นจริง ยิ่งต้องเร่งสร้างผลงานที่จับต้องได้ ตลอดห้วงเวลาสั้นๆ ของรัฐบาล
ยิ่งต้องเร่งสร้างภาพลักษณ์ “นักเลือกตั้งที่เชื่อถือไว้วางใจได้” และ “นักประชาธิปไตยที่รักษาสัจวาจา” ให้แก่ตนเอง
โจทย์ข้อสาม ก็คือ หากอนุทินและภูมิใจไทยจะเลื่อนขึ้นไปเป็น “นักการเมือง-พรรคการเมืองของมหาชน” ตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขาควรอยู่ตรงไหน?
มีแนวโน้มสูงว่า อนุทิน-ภูมิใจไทย น่าจะต้องก้าวขึ้นไปทาบพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับคะแนนนิยมสูงในพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และก้าวขึ้นมาแทน พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นนักการเมืองในอุดมคติรายล่าสุดของ “ขั้วอนุรักษนิยม”
ถ้ารัฐบาลชุดใหม่ทำงานในสองโจทย์แรกได้สำเร็จลุล่วง ก็ไม่ใช่เรื่องยากนักที่พรรคภูมิใจไทยจะเข้ามาแทนที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งใกล้จะ “แพแตก” เต็มทน
แต่เรื่องยาก คือ ต้องทำอย่างไร ภาพลักษณ์ “นักเลือกตั้งสีเทาๆ” หรือ “พรรครวมบ้านใหญ่” ที่ติดตัวพรรคภูมิใจไทยมาตลอด จึงจะผสมผสานกลมกลืนหลอมรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองคาพยพสำคัญๆ ในขั้วอนุรักษนิยม เช่น กองทัพ และเทคโนแครตกลุ่มต่างๆ อย่างไร้รอยแยกรอยต่อ
การได้เป็นนายกรัฐมนตรี และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (เฉพาะกิจ) นั้นถือเป็น “โอกาสทอง” ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” และ “ภูมิใจไทย”
แต่ก็ไม่ใช่ “โอกาสง่ายๆ” (ที่ได้เสวยอำนาจและไม่ต้องลงมือทำงานอะไรเลย) เหมือนที่หลายคนคาดคิด